ตอนก่อนหน้า (ภาคซ้อมและวิเคราะห์สนาม)
สามารถบอกได้เต็มปากว่าสนามนี้น่าจะเป็นสนามที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตที่เจอแล้ว เอาเป็นว่าวิ่งจบแล้วแทบไม่รู้สึกอยากจะวิ่งอีกเลย ฮ่าๆๆ…
วันแข่ง
ปล่อยตัวตี 5 เป๊ะของวันที่ 4 สิงหาคม ผมค่อยๆเคาะไปช้าๆ ช่วงนี้แบ่งเป็นคน 2 พวก
พวกแรกคือเร่งไปเลยเพื่อจะได้ไม่ไปติดคนช้าใน single track ในกิโลเมตรที่ 3 กับ
พวกที่อ้อยอิ่งไปเลย ผมอยู่กลางๆคือยังมองเห็นคนหน้าสุดอยู่หลักสิบคนและมองเห็นข้างหลังอยู่ไม่ไกลมาก
แค่กิโลเมตรที่สองก็เจอปัญหาเสียแล้ว !
หลังจากวิ่งไปได้แค่สองกิโลเราพบกับรั้วที่ขวางทางเราอยู่! อาจจะเป็นการเตรียมการที่ไม่ดีทำให้รั้ววัดที่เราต้องผ่านนั้นถูกปิดอยู่ ตรงนี้นี่เองที่ทำให้ผมตามกลุ่มหน้าทัน ซักครู่หนึ่งราวๆ 30 วินาทีรั้วก็ถูกเปิดออก กลุ่มผู้นำเร่งฝีเท้าอีกครั้งส่วนผมยังคงไปช้าๆ เรื่อยๆ
ราวกิโลเมตรที่สามก็เริ่มขึ้นเขา
“8 กิโลเมตรชันหนึ่งพันเมตร”
ผมรำพึงกับตัวเอง… ปีที่แล้วภาพตรงจุดนี้ค่อนข้างเลือนลางไปแล้ว ปีนี้ผมช้าลงกว่าเดิมโดยไม่พยายามแซงใคร หากคนข้างหน้าเดินผมจะเดิน ถือว่าเป็นการพักผ่อนวอร์มร่างกาย ให้ชินกับความชันของภูเขาไปเรื่อยๆ โดยรู้ว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
หนึ่งชั่วโมงสามสิบเก้านาที
คือเวลาที่ผมเอาตัวเองมาถึง HQ ได้สำเร็จในใจท่องไว้ว่าจะขอพักที่ HQ ก่อนออกไปต่อ แต่ปรากฏว่าพอถึง HQ ไม่มีจุดที่ให้พักได้เลย เต็นท์ที่ปีที่แล้วเป็นเก้าอี้เรียงรายให้พัก ถูกกั้นเชือกเอาไว้ ถุงดร็อปแบ็คมาถึงแล้วแต่ยังไม่อนุญาตให้เอาของได้ มีเพียงน้ำเปล่าและเกลือแร่เจือจางๆ เท่านั้นที่รออยู่ที่นี่ ไม่มีแม้แต่น้ำอัดลมซักขวดเดียว !
“นี่อาจจะยังเช้าไป“ ผมคิดในใจ… ทำให้ต้องไปต่อโดยไม่ได้พักเลยเนื่องจากไม่มีที่ให้พัก
เรียกได้ว่าแค่เติมน้ำก็ต้องออกจาก HQ เลย ไม่ได้อยากรีบแต่อย่างใด
ระหว่างที่ออกมาจาก HQ ได้ซักพักก็สวนกับไมค์พอดี ทักทายกันอย่างรวดเร็วและผมก็ไปต่อ
สามสิบเอ็ดนาที
คือเวลาที่ผมใช้จากตีนดอยไปยังยอดดอยปุย อากาศดีมากเหมือนปีที่แล้ว ต่างแค่คราวนี้ผมไม่ต้องเร่งตามใคร ทำให้มีเวลาชื่นชมธรรมชาติ เมื่อถึงยอดก็รายงานเพื่อนๆว่าถึงยอดแล้ว แวะถ่ายรูปชื่นชมวิวอยู่จนเริ่มหนาวจึงออกวิ่งต่อ

12 กิโลเมตรคือทางลง !
ตรงนี้เมื่อปีที่แล้วผมลงมาแบบสนุกสนานคือมีแรงเท่าไหร่ใส่หมดจนสุดท้ายแทบคลานกลับ HQ
ปีนี้เลยพยายามท่องไว้ว่า “คุมหัวใจเอาไว้ๆ” ทำให้เริ่มเห็นนักวิ่งทยอยแซงผมไปทีละคนสองคน เข้าใจว่าตลอด 12 กิโลเมตรนี้น่าจะมีคนแซงผมไปราวๆ 10 คน ในใจอยากวิ่งตามลงไปเหมือนกันเพราะแรงยังเหลือๆ แต่ก็ต้องคุมให้ได้ตามแผน
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของ A1 คือระยะทาง !
loop A1 นั้นเป็น loop ที่มีระยะทางไกลมากคือรวมทั้งหมด 42 กิโลเมตรซึ่งถ้ารวมกับ HQ ที่ไม่ได้พักด้วยมันคือระยะทาง 52 กิโลเมตร ที่แทบไม่มีซัพพอร์ตเลย และจาก W1 ไป ผานกกก นั้นเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตรดังนั้นจากจุดนี้ควรเติมน้ำไปให้เต็ม
มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือ ปกติผมเป็นคนกินน้ำน้อยมากแต่รอบนี้ผมพยายามกินน้ำเกือบตลอดเวลาข้อดีคือทำให้ร่างกายยังรู้สึกสดชื่นอยู่เกือบตลอด แต่ก็ต้องแลกมากับการทำให้ต้องแวะฉี่อยู่บ่อยๆ
7 กิโลเมตรจากยอดดอยปุย ผมแวะเติมน้ำที่ W1 จนเต็มทั้ง 3 ขวด (รอบนี้ผมไม่ใช้ถุงน้ำที่หลังแต่แบกขวดนิ่มไป 3 ขวดแทนส่วนใหญ่จะเติมเต็มแค่ 2 ขวดส่วนขวดที่ 3 มีไว้สำหรับ loop A1 เท่านั้น)
ระหว่างนั้นไมค์ก็ตามมาทันพอดี ผมกับไมค์จึงบัดดี้กันไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าการวิ่งไปกับเพื่อนย่อมดีกว่าวิ่งคนเดียวอยู่แล้ว
บ้านม้งดอยปุยเป็นอีกที่ที่สามารถแวะซื้อน้ำได้ ซึ่งตรงนี้ผมแวะซื้อน้ำอัดลมกินเพื่อไปชดเชยพลังงานที่วิ่งไปเกือบ 20 กิโลเมตรแต่ยังไม่ได้น้ำตาลซักหยด…
พี่จุ้ยนักวิ่งแนวหน้าตามมาทันพอดีที่นี่เสียเวลาอยู่พักใหญ่พอรอเจ้าของร้านทอนเงิน ผ่านบ้านม้งดอยปุยย้อนกลับเข้าไปทางถนนระหว่างหมู่บ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งจะไปซ้อนทับกับเส้นทางของโป่งแยงเทรลแล้ว
หลงครั้งแรก !
ราวๆ กิโลเมตรที่ 23 เป็นทางลงที่วิ่งอย่างสนุกสนาน ผมกับเพื่อนๆนักวิ่งอีก 3 – 4 คนวิ่งตามๆกันลงมาเรื่อยๆ ตามแรงโน้มถ่วงของโลก โดยมองคนข้างหน้าเป็นหลักแต่แล้วจู่ๆก็มีเพื่อนนักวิ่งคนหนึ่งทักขึ้นมาว่า
“นี่ไม่เห็นริ้บบิ้นมาพักนึงแล้วนะ”
เท่านั้นแหละสายตาทุกคู่เริ่มกวาดหาริ้บบิ้นที่เป็นสัญลักษณ์บอกทาง ทุกคนเริ่มชะลอความเร็ว แต่บางคนวิ่งแซงพวกเราไป ซักพักทุกคนเริ่มหยุดวิ่งแล้วควักเอามือถือขึ้นมาตรวจสอบทางและพบว่าเราหลงกันมาได้ราวๆ กิโลเมตรนึงแล้ว พวกเราทั้งหมดจึงต้องชดใช้กรรมด้วยการเดินกลับขึ้นไปทางที่เพิ่งลงมา
ถึงตรงนี้กำลังใจเริ่มหดหาย ท้องก็เริ่มหิว ผมควักเอาขนมปังไส้มะพร้าวมาจัดการอย่างรวดเร็วไป 1 ชิ้นช่วยฟื้นฟูพลังและคลายความหิวลงไปได้หน่อยนึง
เมื่อกลับมาตามทางเรื่อยๆเราก็พบว่าจุดที่ต้องหักเลี้ยวนั้นป้ายบอกทางได้หลุดหล่นลงมาบนพื้นทำให้ไม่มีใครสังเกตุเห็น ตรงนี้หลงไปเกือบ 2 กิโลเมตรกับความชันอีกซักเกือบ 100 เมตร
เดินพักผ่อนจิตใจไปได้ซักครู่ ก็มีแนวหน้าวิ่งมาจากข้างหลังเรา โจอี้ ลุงร็อบ และแนวหน้าอีก 2 – 3 คนวิ่งผ่านไปเป็นกลุ่มแสดงว่าแนวหน้าก็หลงเหมือนกันแต่คงหลงไปไกลกว่า …. เราจึงออกวิ่งตามกลุ่มนำไป
5 ชั่วโมง 4 นาที
ผมเอาตัวเองมาถึง ผานกกก A1 ได้สำเร็จสายตามองหาน้ำอัดลมแต่กลับผิดหวังอย่างรุนแรง ปีที่แล้วที่นี่อุดมไปด้วยน้ำอัดลมให้กินอย่างหนำใจแต่ปีนี้กลับมาเพียงเกลือแร่จืดชืดที่ชวนอ้วกมากกว่าให้พลังงาน ข้าวเหนียวหมูทอดที่อร่อยและสามารถพกพาไปกินได้ในปีที่แล้วก็กลับไม่มี กลายเป็นผัดไทที่ไร้ซึ่งเนื้อสัตว์ในปีนี้ ไม่รู้โปรหนำจะขี้เหนียวอะไรนักหนา
ผมทำได้แค่พยายามโรยน้ำตาลกับถั่วเยอะๆ เพื่อให้ได้พลังงานกลับมาบ้าง
หลังจากได้กินและพักนิดหน่อยผมและไมค์จึงออกวิ่งสลับเดินต่อเส้นทางช่วงนี้ไม่ค่อยยากแล้วมีขึ้นลงบ้างตามทางปูนเล็กๆ สลับถนนดิน แต่มันก็ยังไกลมาอยู่ดี ระยะทางจาก A1 ย้อนกลับมา HQ เป็นระยะทางถึง 20 กิโลเมตรและชันสะสม 1000 กว่าเมตร โชคดีที่ช่วงก่อน W2 ราวๆกิโลเมตรที่ 40 มีชาวบ้านเอาน้ำอัดลมมาขายช่วยเติมพลังงานกลับมาได้บ้าง
และเหมือนเคย W2 มีเพียงน้ำเปล่าให้เติมไม่มีสิ่งให้พลังงานใดๆเลย ทำให้ช่วงราว 3-4 กิโลเมตรสุดท้ายพลังงานที่กินเข้าไปรวมถึงที่สะสมไว้ก็เริ่มหมด การวิ่งสลับเดินที่เคยทำได้อยู่เรื่อยๆนั้นเริ่มเป็นรอบที่สั้นลงเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องใช้เวลาในสนามไป 8ชั่วโมงครึ่งเพื่อเอาตัวเองกลับมา HQ อย่างหิวโซ
ถือว่าจบส่วนที่ยากที่สุดไปส่วนหนึ่งแล้ว ที่เหลือเป็นส่วนที่สั้นกว่าแต่ทรมานกว่าเยอะ
ถึง HQ เจอพี่นิคมรออยู่จัดแจงเอาถุงดร็อบแบ็คของเราไปยังโรงอาหาร ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นที่กินข้าวของนักกีฬา สอบถามได้ความว่าพี่นิคมเจ็บเลยขอออกจากการแข่งขันไปก่อนเป็นที่น่าเสียดายมาก ผมกินข้าวไป 2 จาน + ของหวานอีก 2 ถ้วยกินน้ำอัดลมที่เตรียมมาอย่างเต็มคราบให้สมกับที่อดอยากมากว่า 8 ชั่วโมง ผมจัดแจงเปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนรองเท้า ถุงเท้า แล้วก็โดนพี่นิคมไล่ออกจาก HQ มาใช้เวลาอยู่ใน HQ ราวๆ 20 นาที….
A2 สั้นๆแต่ชันสุดๆ
ถ้าดูจากกราฟความชันจะเห็นว่าระยะทางของ Loop A2 นั้นไม่ได้ยาวไกลเท่ากับ Loop อื่นๆแต่กลับมีความชันสะสมพอๆกับ Loop อื่น นั่นหมายความว่าเราต้องเจอกับระดับองศาความชันแบบสุดๆไปเลย

ระยะทางของ loop นี้เพียงแค่ 15 กิโลเท่านั้นคือลงยาวๆ 7.5 กิโลเมตรและขึ้นทางเดิมมา 7.5 กิโลเมตร
เส้นทางค่อนข้างรกและลื่น ถ้าไม่ได้แข็งแรงจริงๆอาจจะไม่สามารถวิ่งลงอย่างรวดเร็วได้
ปัญหาของเส้นทางนี้สำหรับผมคือ “มด” ใช่แล้ว! มดตัวดำๆที่เกาะอยู่ตามใบไม้นั่นแหละ
เมื่อเราวิ่งผ่านมันก็จะติดตัวมานอกจากรำคาญแล้วบางตัวยังกัดเราอีกด้วย ผมเองไม่ค่อยถูกกับแมลงเท่าไหร่บวกกับใส่เสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น ทำให้ต้องคอยปัดมดออกจากตัวอยู่เรื่อยๆ ตรงนี้บางครั้งถึงกับหยุดค่อนข้างเสียเวลาพอสมควร
หลังจากกลับมาจาก A2 ไมค์เปลี่ยนใจขอเลิกแถวๆน้ำตกวังบัวบาน ผมเองเห็นด้วยว่าถ้าจะ DNF จุดนี้จะเหมาะที่สุดเพราะรถสามารถมารับได้ง่าย แต่ก็แนะนำให้นั่งพักด้วยกันก่อนถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยตัดสินใจ หลังจากนั่งพักได้ไม่นานไมค์ก็แน่วแน่เอาจริงเอาจังว่าจะเลิก
ซึ่งจริงๆถ้าผมเป็นไมค์ผมจะไม่มาวิ่งด้วยซ้ำ เพราะปีที่แล้วไมค์จบสนามนี้ไปแล้วไม่น่าจะมีอะไรค้างคาใจแล้ว แต่ผมนี่สิพอเห็นไมค์เลิกในใจก็พาลอยากจะเลิกตามไปด้วย นั่งคิดอยู่หลายตลบสุดท้ายเมื่อไมค์ยืนยันจะไม่ไปต่อจึงขอสลับ trekking pole กับไมค์แล้วไปต่อคนเดียว…..
เส้นนี้ความชันสะสมคือ 950 เมตรทั้งขึ้นและลง เส้นนี้ลงยาวอย่างเดียวจนไปถึงน้ำตกวังบัวบาน ข้ามถนนไปจนถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ปั้มตราที่ A2 แล้วย้อนกลับทางเดิม เส้นทางนี้ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนักนอกจากคำว่า ชัน
ชันเหี้ยๆ
ขาลงไม่เท่าไหร่ ขาขึ้นนี่ต้องนับก้าวเลยทีเดียว มองหาทางราบให้พักก็ไม่มี….แถมพอดูนาฬิกาก็พบว่านาฬิกาเริ่มเพี้ยนๆ เริ่มบอกระยะทางไม่ตรงกับความเป็นจริง
ขาลงใช้เวลา 1ชั่วโมง40นาที แต่ขาขึ้นกลับใช้เวลาถึง 2ชั่วโมง20นาที
12ชั่วโมงในสนามผ่านไป…..
ผมกลับมาถึง HQ อีกรอบระยะทางในสนามผ่านไป 67 กิโลเมตร ปีที่แล้วผม DNF ตัวเองที่นี่แต่ปีนี้ไม่มีความคิดนั้นอยู่เลย ความคิดของการ DNF หายไปหมดตั้งแต่แยกจากไมค์ไป
“ยังไงก็ต้องจบให้ได้ ….”
ปกติผมไม่เคยมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ เป็นคนขี้แพ้มาตลอดคือถ้าเริ่มไม่ค่อยดีก็ถอนตัวออกก่อนเซฟกว่าแต่คราวนี้กลับมีความคิดนี้อยู่ตอนเข้ามานั่งกินข้าวที่ HQ อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าเราอาจจะเปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วก็เป็นไปได้
Loop A3 ปราบเซียน ลาสแมนในตำนาน
ปีที่แล้วผมมาไม่ถึงตรงนี้แต่ได้ยินชื่อเสียงโจนจันกันมาว่านี่คือเส้นทางปราบเซียนทั้งความลื่น ความชัน ระยะทาง ความล้าสะสม
Loop A3 ต้องกลับไปขึ้นดอยปุยอีกรอบ รอบนี้ใช้เวลาถึง 56 นาทีเพื่อจะขึ้นไปถึงยอดดอยปุย
นี่เป็นสัญญาณบอกว่าเราน่าจะล้าเต็มทีแล้ว

เส้นทางเหมือน Loop A1 ทุกอย่างจนกระทั่ง มาถึง W1 มาถึงตรงนี้เริ่มมืดแล้วเลยงงๆหน่อย เข้าใจว่า W1 ที่เราแวะตอนเช้าถ้าผ่านลงเขาไปจะเป็นทางไปยัง A3 คือวัดสวนพริกได้ ถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่เริ่มก่อไฟกันแล้วผมหยิบไฟฉายคาดหัวมาคาด …..
1 ความเห็น