CM6 2018 (ภาคกลางวัน)

Posted by

ตอนก่อนหน้า (ภาคซ้อมและวิเคราะห์สนาม)

สามารถบอกได้เต็มปากว่าสนามนี้น่าจะเป็นสนามที่โหดร้ายที่สุดในชีวิตที่เจอแล้ว เอาเป็นว่าวิ่งจบแล้วแทบไม่รู้สึกอยากจะวิ่งอีกเลย ฮ่าๆๆ…

วันแข่ง

ปล่อยตัวตี 5 เป๊ะของวันที่ 4 สิงหาคม ผมค่อยๆเคาะไปช้าๆ ช่วงนี้แบ่งเป็นคน 2 พวก
พวกแรกคือเร่งไปเลยเพื่อจะได้ไม่ไปติดคนช้าใน single track ในกิโลเมตรที่ 3 กับ
พวกที่อ้อยอิ่งไปเลย ผมอยู่กลางๆคือยังมองเห็นคนหน้าสุดอยู่หลักสิบคนและมองเห็นข้างหลังอยู่ไม่ไกลมาก

แค่กิโลเมตรที่สองก็เจอปัญหาเสียแล้ว !
หลังจากวิ่งไปได้แค่สองกิโลเราพบกับรั้วที่ขวางทางเราอยู่!
 อาจจะเป็นการเตรียมการที่ไม่ดีทำให้รั้ววัดที่เราต้องผ่านนั้นถูกปิดอยู่ ตรงนี้นี่เองที่ทำให้ผมตามกลุ่มหน้าทัน ซักครู่หนึ่งราวๆ 30 วินาทีรั้วก็ถูกเปิดออก กลุ่มผู้นำเร่งฝีเท้าอีกครั้งส่วนผมยังคงไปช้าๆ เรื่อยๆ 

ราวกิโลเมตรที่สามก็เริ่มขึ้นเขา 

“8 กิโลเมตรชันหนึ่งพันเมตร”

ผมรำพึงกับตัวเอง… ปีที่แล้วภาพตรงจุดนี้ค่อนข้างเลือนลางไปแล้ว ปีนี้ผมช้าลงกว่าเดิมโดยไม่พยายามแซงใคร หากคนข้างหน้าเดินผมจะเดิน ถือว่าเป็นการพักผ่อนวอร์มร่างกาย ให้ชินกับความชันของภูเขาไปเรื่อยๆ โดยรู้ว่านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

FB_IMG_1534079554822

หนึ่งชั่วโมงสามสิบเก้านาที
คือเวลาที่ผมเอาตัวเองมาถึง HQ ได้สำเร็จในใจท่องไว้ว่าจะขอพักที่ HQ ก่อนออกไปต่อ แต่ปรากฏว่าพอถึง HQ ไม่มีจุดที่ให้พักได้เลย เต็นท์ที่ปีที่แล้วเป็นเก้าอี้เรียงรายให้พัก ถูกกั้นเชือกเอาไว้ ถุงดร็อปแบ็คมาถึงแล้วแต่ยังไม่อนุญาตให้เอาของได้ มีเพียงน้ำเปล่าและเกลือแร่เจือจางๆ เท่านั้นที่รออยู่ที่นี่ ไม่มีแม้แต่น้ำอัดลมซักขวดเดียว ! 

นี่อาจจะยังเช้าไป ผมคิดในใจ… ทำให้ต้องไปต่อโดยไม่ได้พักเลยเนื่องจากไม่มีที่ให้พัก
เรียกได้ว่าแค่เติมน้ำก็ต้องออกจาก HQ เลย ไม่ได้อยากรีบแต่อย่างใด
ระหว่างที่ออกมาจาก HQ ได้ซักพักก็สวนกับไมค์พอดี ทักทายกันอย่างรวดเร็วและผมก็ไปต่อ

สามสิบเอ็ดนาที
คือเวลาที่ผมใช้จากตีนดอยไปยังยอดดอยปุย อากาศดีมากเหมือนปีที่แล้ว ต่างแค่คราวนี้ผมไม่ต้องเร่งตามใคร ทำให้มีเวลาชื่นชมธรรมชาติ เมื่อถึงยอดก็รายงานเพื่อนๆว่าถึงยอดแล้ว แวะถ่ายรูปชื่นชมวิวอยู่จนเริ่มหนาวจึงออกวิ่งต่อ

 

รอบแรกหน้าตายังสดใสมาก
7234855-S1300x600.0
ทางลงวิ่งไปเล่นโทรศัพท์ไปหน้าตาก็สดใสราวๆนี้

12 กิโลเมตรคือทางลง !
ตรงนี้เมื่อปีที่แล้วผมลงมาแบบสนุกสนานคือมีแรงเท่าไหร่ใส่หมดจนสุดท้ายแทบคลานกลับ HQ
ปีนี้เลยพยายามท่องไว้ว่า “คุมหัวใจเอาไว้ๆ” ทำให้เริ่มเห็นนักวิ่งทยอยแซงผมไปทีละคนสองคน เข้าใจว่าตลอด 12 กิโลเมตรนี้น่าจะมีคนแซงผมไปราวๆ 10 คน ในใจอยากวิ่งตามลงไปเหมือนกันเพราะแรงยังเหลือๆ แต่ก็ต้องคุมให้ได้ตามแผน

สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของ A1 คือระยะทาง !
loop A1 นั้นเป็น loop ที่มีระยะทางไกลมากคือรวมทั้งหมด 42 กิโลเมตรซึ่งถ้ารวมกับ HQ ที่ไม่ได้พักด้วยมันคือระยะทาง 52 กิโลเมตร ที่แทบไม่มีซัพพอร์ตเลย และจาก W1 ไป ผานกกก นั้นเป็นระยะทาง 15 กิโลเมตรดังนั้นจากจุดนี้ควรเติมน้ำไปให้เต็ม
มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไปอย่างมากคือ ปกติผมเป็นคนกินน้ำน้อยมากแต่รอบนี้ผมพยายามกินน้ำเกือบตลอดเวลาข้อดีคือทำให้ร่างกายยังรู้สึกสดชื่นอยู่เกือบตลอด แต่ก็ต้องแลกมากับการทำให้ต้องแวะฉี่อยู่บ่อยๆ
7 กิโลเมตรจากยอดดอยปุย ผมแวะเติมน้ำที่ W1 จนเต็มทั้ง 3 ขวด (รอบนี้ผมไม่ใช้ถุงน้ำที่หลังแต่แบกขวดนิ่มไป 3 ขวดแทนส่วนใหญ่จะเติมเต็มแค่ 2 ขวดส่วนขวดที่ 3 มีไว้สำหรับ loop A1 เท่านั้น)
ระหว่างนั้นไมค์ก็ตามมาทันพอดี ผมกับไมค์จึงบัดดี้กันไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าการวิ่งไปกับเพื่อนย่อมดีกว่าวิ่งคนเดียวอยู่แล้ว
บ้านม้งดอยปุยเป็นอีกที่ที่สามารถแวะซื้อน้ำได้ ซึ่งตรงนี้ผมแวะซื้อน้ำอัดลมกินเพื่อไปชดเชยพลังงานที่วิ่งไปเกือบ 20 กิโลเมตรแต่ยังไม่ได้น้ำตาลซักหยด…
พี่จุ้ยนักวิ่งแนวหน้าตามมาทันพอดีที่นี่เสียเวลาอยู่พักใหญ่พอรอเจ้าของร้านทอนเงิน ผ่านบ้านม้งดอยปุยย้อนกลับเข้าไปทางถนนระหว่างหมู่บ้าน ซึ่งส่วนหนึ่งจะไปซ้อนทับกับเส้นทางของโป่งแยงเทรลแล้ว

หลงครั้งแรก !
ราวๆ กิโลเมตรที่ 23 เป็นทางลงที่วิ่งอย่างสนุกสนาน ผมกับเพื่อนๆนักวิ่งอีก 3 – 4 คนวิ่งตามๆกันลงมาเรื่อยๆ ตามแรงโน้มถ่วงของโลก โดยมองคนข้างหน้าเป็นหลักแต่แล้วจู่ๆก็มีเพื่อนนักวิ่งคนหนึ่งทักขึ้นมาว่า

“นี่ไม่เห็นริ้บบิ้นมาพักนึงแล้วนะ”

เท่านั้นแหละสายตาทุกคู่เริ่มกวาดหาริ้บบิ้นที่เป็นสัญลักษณ์บอกทาง ทุกคนเริ่มชะลอความเร็ว แต่บางคนวิ่งแซงพวกเราไป ซักพักทุกคนเริ่มหยุดวิ่งแล้วควักเอามือถือขึ้นมาตรวจสอบทางและพบว่าเราหลงกันมาได้ราวๆ กิโลเมตรนึงแล้ว พวกเราทั้งหมดจึงต้องชดใช้กรรมด้วยการเดินกลับขึ้นไปทางที่เพิ่งลงมา
ถึงตรงนี้กำลังใจเริ่มหดหาย ท้องก็เริ่มหิว ผมควักเอาขนมปังไส้มะพร้าวมาจัดการอย่างรวดเร็วไป 1 ชิ้นช่วยฟื้นฟูพลังและคลายความหิวลงไปได้หน่อยนึง
เมื่อกลับมาตามทางเรื่อยๆเราก็พบว่าจุดที่ต้องหักเลี้ยวนั้นป้ายบอกทางได้หลุดหล่นลงมาบนพื้นทำให้ไม่มีใครสังเกตุเห็น ตรงนี้หลงไปเกือบ 2 กิโลเมตรกับความชันอีกซักเกือบ 100 เมตร
เดินพักผ่อนจิตใจไปได้ซักครู่ ก็มีแนวหน้าวิ่งมาจากข้างหลังเรา โจอี้ ลุงร็อบ และแนวหน้าอีก 2 – 3 คนวิ่งผ่านไปเป็นกลุ่มแสดงว่าแนวหน้าก็หลงเหมือนกันแต่คงหลงไปไกลกว่า …. เราจึงออกวิ่งตามกลุ่มนำไป

5 ชั่วโมง 4 นาที 
ผมเอาตัวเองมาถึง ผานกกก A1 ได้สำเร็จสายตามองหาน้ำอัดลมแต่กลับผิดหวังอย่างรุนแรง ปีที่แล้วที่นี่อุดมไปด้วยน้ำอัดลมให้กินอย่างหนำใจแต่ปีนี้กลับมาเพียงเกลือแร่จืดชืดที่ชวนอ้วกมากกว่าให้พลังงาน ข้าวเหนียวหมูทอดที่อร่อยและสามารถพกพาไปกินได้ในปีที่แล้วก็กลับไม่มี กลายเป็นผัดไทที่ไร้ซึ่งเนื้อสัตว์ในปีนี้ ไม่รู้โปรหนำจะขี้เหนียวอะไรนักหนา
ผมทำได้แค่พยายามโรยน้ำตาลกับถั่วเยอะๆ เพื่อให้ได้พลังงานกลับมาบ้าง
หลังจากได้กินและพักนิดหน่อยผมและไมค์จึงออกวิ่งสลับเดินต่อเส้นทางช่วงนี้ไม่ค่อยยากแล้วมีขึ้นลงบ้างตามทางปูนเล็กๆ สลับถนนดิน แต่มันก็ยังไกลมาอยู่ดี ระยะทางจาก A1 ย้อนกลับมา HQ เป็นระยะทางถึง 20 กิโลเมตรและชันสะสม 1000 กว่าเมตร โชคดีที่ช่วงก่อน W2 ราวๆกิโลเมตรที่ 40 มีชาวบ้านเอาน้ำอัดลมมาขายช่วยเติมพลังงานกลับมาได้บ้าง
และเหมือนเคย W2 มีเพียงน้ำเปล่าให้เติมไม่มีสิ่งให้พลังงานใดๆเลย ทำให้ช่วงราว 3-4 กิโลเมตรสุดท้ายพลังงานที่กินเข้าไปรวมถึงที่สะสมไว้ก็เริ่มหมด การวิ่งสลับเดินที่เคยทำได้อยู่เรื่อยๆนั้นเริ่มเป็นรอบที่สั้นลงเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องใช้เวลาในสนามไป 8ชั่วโมงครึ่งเพื่อเอาตัวเองกลับมา HQ อย่างหิวโซ

ถือว่าจบส่วนที่ยากที่สุดไปส่วนหนึ่งแล้ว ที่เหลือเป็นส่วนที่สั้นกว่าแต่ทรมานกว่าเยอะ

ถึง HQ เจอพี่นิคมรออยู่จัดแจงเอาถุงดร็อบแบ็คของเราไปยังโรงอาหาร ซึ่งถูกเปลี่ยนเป็นที่กินข้าวของนักกีฬา สอบถามได้ความว่าพี่นิคมเจ็บเลยขอออกจากการแข่งขันไปก่อนเป็นที่น่าเสียดายมาก ผมกินข้าวไป 2 จาน + ของหวานอีก 2 ถ้วยกินน้ำอัดลมที่เตรียมมาอย่างเต็มคราบให้สมกับที่อดอยากมากว่า 8 ชั่วโมง ผมจัดแจงเปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนรองเท้า ถุงเท้า แล้วก็โดนพี่นิคมไล่ออกจาก HQ มาใช้เวลาอยู่ใน HQ ราวๆ 20 นาที….

A2 สั้นๆแต่ชันสุดๆ 

ถ้าดูจากกราฟความชันจะเห็นว่าระยะทางของ Loop A2 นั้นไม่ได้ยาวไกลเท่ากับ Loop อื่นๆแต่กลับมีความชันสะสมพอๆกับ Loop อื่น นั่นหมายความว่าเราต้องเจอกับระดับองศาความชันแบบสุดๆไปเลย

Capture
พุ่งขึ้นและลงทางเดียวกัน

ระยะทางของ loop นี้เพียงแค่ 15 กิโลเท่านั้นคือลงยาวๆ 7.5 กิโลเมตรและขึ้นทางเดิมมา 7.5 กิโลเมตร
เส้นทางค่อนข้างรกและลื่น ถ้าไม่ได้แข็งแรงจริงๆอาจจะไม่สามารถวิ่งลงอย่างรวดเร็วได้
ปัญหาของเส้นทางนี้สำหรับผมคือ “มด” ใช่แล้ว! มดตัวดำๆที่เกาะอยู่ตามใบไม้นั่นแหละ
เมื่อเราวิ่งผ่านมันก็จะติดตัวมานอกจากรำคาญแล้วบางตัวยังกัดเราอีกด้วย ผมเองไม่ค่อยถูกกับแมลงเท่าไหร่บวกกับใส่เสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้น ทำให้ต้องคอยปัดมดออกจากตัวอยู่เรื่อยๆ ตรงนี้บางครั้งถึงกับหยุดค่อนข้างเสียเวลาพอสมควร

หลังจากกลับมาจาก A2 ไมค์เปลี่ยนใจขอเลิกแถวๆน้ำตกวังบัวบาน ผมเองเห็นด้วยว่าถ้าจะ DNF จุดนี้จะเหมาะที่สุดเพราะรถสามารถมารับได้ง่าย แต่ก็แนะนำให้นั่งพักด้วยกันก่อนถ้าไม่ไหวจริงๆค่อยตัดสินใจ หลังจากนั่งพักได้ไม่นานไมค์ก็แน่วแน่เอาจริงเอาจังว่าจะเลิก

ซึ่งจริงๆถ้าผมเป็นไมค์ผมจะไม่มาวิ่งด้วยซ้ำ เพราะปีที่แล้วไมค์จบสนามนี้ไปแล้วไม่น่าจะมีอะไรค้างคาใจแล้ว แต่ผมนี่สิพอเห็นไมค์เลิกในใจก็พาลอยากจะเลิกตามไปด้วย นั่งคิดอยู่หลายตลบสุดท้ายเมื่อไมค์ยืนยันจะไม่ไปต่อจึงขอสลับ trekking pole กับไมค์แล้วไปต่อคนเดียว…..

เส้นนี้ความชันสะสมคือ 950 เมตรทั้งขึ้นและลง เส้นนี้ลงยาวอย่างเดียวจนไปถึงน้ำตกวังบัวบาน ข้ามถนนไปจนถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ปั้มตราที่ A2 แล้วย้อนกลับทางเดิม เส้นทางนี้ไม่มีอะไรให้พูดถึงมากนักนอกจากคำว่า ชัน

ชันเหี้ยๆ 

ขาลงไม่เท่าไหร่ ขาขึ้นนี่ต้องนับก้าวเลยทีเดียว มองหาทางราบให้พักก็ไม่มี….แถมพอดูนาฬิกาก็พบว่านาฬิกาเริ่มเพี้ยนๆ เริ่มบอกระยะทางไม่ตรงกับความเป็นจริง

ขาลงใช้เวลา 1ชั่วโมง40นาที แต่ขาขึ้นกลับใช้เวลาถึง 2ชั่วโมง20นาที

12ชั่วโมงในสนามผ่านไป…..

ผมกลับมาถึง HQ อีกรอบระยะทางในสนามผ่านไป 67 กิโลเมตร ปีที่แล้วผม DNF ตัวเองที่นี่แต่ปีนี้ไม่มีความคิดนั้นอยู่เลย ความคิดของการ DNF หายไปหมดตั้งแต่แยกจากไมค์ไป

“ยังไงก็ต้องจบให้ได้ ….”

ปกติผมไม่เคยมีความคิดแบบนี้อยู่ในหัวเลยด้วยซ้ำ เป็นคนขี้แพ้มาตลอดคือถ้าเริ่มไม่ค่อยดีก็ถอนตัวออกก่อนเซฟกว่าแต่คราวนี้กลับมีความคิดนี้อยู่ตอนเข้ามานั่งกินข้าวที่ HQ อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บอกว่าเราอาจจะเปลี่ยนไปอีกครั้งแล้วก็เป็นไปได้

Loop A3 ปราบเซียน ลาสแมนในตำนาน 

ปีที่แล้วผมมาไม่ถึงตรงนี้แต่ได้ยินชื่อเสียงโจนจันกันมาว่านี่คือเส้นทางปราบเซียนทั้งความลื่น ความชัน ระยะทาง ความล้าสะสม
Loop A3 ต้องกลับไปขึ้นดอยปุยอีกรอบ รอบนี้ใช้เวลาถึง 56 นาทีเพื่อจะขึ้นไปถึงยอดดอยปุย
นี่เป็นสัญญาณบอกว่าเราน่าจะล้าเต็มทีแล้ว

20180804_182814
รอบสองมันจะเปียกๆเบลอๆ ฝันๆหน่อยนะ

เส้นทางเหมือน Loop A1 ทุกอย่างจนกระทั่ง มาถึง W1 มาถึงตรงนี้เริ่มมืดแล้วเลยงงๆหน่อย เข้าใจว่า W1 ที่เราแวะตอนเช้าถ้าผ่านลงเขาไปจะเป็นทางไปยัง A3 คือวัดสวนพริกได้ ถึงตรงนี้เจ้าหน้าที่เริ่มก่อไฟกันแล้วผมหยิบไฟฉายคาดหัวมาคาด …..

 

1 ความเห็น

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s