ภาคการซ้อมและวิเคราะห์สนาม (คลิก)
สำหรับภาคกลางวันกลับไปอ่านได้ที่นี่ (คลิก)
การวิ่งในความมืดมีข้อดีคือเราไม่ต้องกังวลเรื่องแสงแดดและความร้อน ทำแค่มองตามแสงไฟฉายที่ทอดไปและก้าวไปข้างหน้า ทำให้เราสามารถมีสมาธิจดจ่ออยู่กับเส้นทางได้มากกว่า แต่ก็ต้องแลกมากับความง่วงอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ทรมานมากซึ่งผมเคยเจอมาแล้วที่สนาม โป่งแยงร้อย และ HK100 และแน่นอนว่าก็จะต้องมาเจออีกที่นี่แน่ๆ เพียงแต่ตอนไหนยังไม่รู้ !
ปล. การวิ่งในความมืดแปลว่าจะไม่มีภาพถ่ายด้วย ฉะนั้นพาร์ทนี้ตัวอักษรล้วนๆ
ลาสแมน สู่วัดสวนพริก
จาก W1 ไปยัง A3 คือระยะทาง 7 กิโลเมตรเท่านั้นแต่ความชันอยู่ที่ราวๆ 950 เมตรและแน่นอนตามสไตล์สนาม Cm6 คือเราต้องกลับมาทางเดิม!
เริ่มลงจาก W1 ไปได้ไม่กี่เมตรก็เจอกับตำนานที่เขาเลื่องลือ นั่นคือ “ความลื่น”….
“นี่ขนาดฝนไม่ตกยังมีตะไคร่น้ำเกาะลื่นขนาดนี้แล้วตอนฝนตกจะขนาดไหน”
ไปได้ซักพักจึงเริ่มจับทริกได้ว่าถ้าเป็นตะไคร่แววๆ อย่าเหยียบลื่นแน่นอน และให้พยายามเหยียบลงบนดินให้ได้มากที่สุด เมื่อลงไปได้ซักพักก็เริ่มพบกับกลุ่มแนวหน้าที่เริ่มสวนกลับขึ้นมากัน ซึ่งตรงนี้ก็ทำได้แค่ทักทายกันนิดหน่อยเพราะมองแทบไม่เห็นหน้ากัน
7 กิโลเมตรยาวเหมือนชั่วกัปชั่วกัลป์ ระหว่างทางเจอกับนักวิ่งที่นอนอยู่บนพื้นขวางทางอยู่ ได้ยินคนข้างหน้าถามถึงอาการอยู่แต่มีเพียงเสียงตอบงึมงำ เข้าใจว่าน่าจะแค่พัก ตอนนี้ไม่มีใครมีสติและกำลังมากพอจะช่วยคนอื่นได้มาก ทำได้แค่ให้เค้าได้พักผ่อนไป
เมื่อสุดทางชันจะเจอกับถนนที่หลอกให้เราดีใจว่าถึงแล้วแต่กลับกลายเป็นว่าเรายังต้องเดินอีกพักหนึ่งถึงจะได้เจอกับ A3 วัดสวนพริก
ไม่น่าเชื่อว่าเหตุการ์ทั้งหมดนั้นเพิ่งผ่านมาแค่ 1 ชั่วโมง 33 นาที ที่วัดสวนพริกมีทีมซัพพอร์ตรออยู่ ส่วนใหญ่ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดีอย่าง แพรวา พี่มงคลรวมถึงแจ็คผู้เฝ้า A3 ตรงนี้มีข้าวต้มพอประทังชีวิตไปได้ ผมกินไป 2- 3 ถ้วยกับลำไยที่เป็นกำเพื่อพยายามเติมพลังงานสำหรับเส้นทางขากลับที่โหดร้าย ยังพยายามเล่นมุกกับเพื่อนๆอยู่เพื่อผ่อนคลายความเครียดไปบ้าง นั่งอยู่พักนึงจึงออกไปเผชิญกับโลกแห่งความเป็นจริง
แน่นอนว่าขาขึ้นลำบากเหมือน A2 แต่ที่แย่กว่าคือความอ่อนล้าสะสม ผู้คนยังคงลงสวนลงมาเป็นระยะๆ ผมพยายามมองหาคนรู้จักเพื่อบรรเทาความเหงาความล้าของตัวเองไปได้บ้าง
ราวๆ กิโลเมตรที่ 85 ในที่สุดก็ได้เจอกับคนที่ยอมคุยด้วยเสียที นั่นคือพี่หมู นั่นเองพี่หมูดูร้อนและเหนื่อยมาก พี่หมูพยายามถามเรื่องระยะทางแต่ GPS บนข้อมือผมเพี้ยนเสียแล้วที่ตอบไปคงไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่
สองชั่วโมงครึ่งสำหรับ A3 มายัง W1 ตอนนี้สิ่งที่ผมกลัวที่สุดมันมาเยือนแล้วนั่นคือ ความง่วง
ในความเป็นจริงส่วนที่ยากมากของสนามควรจะจบไปอีกเปราะแต่กลายเป็นว่าความทรมานที่แท้จริงเริ่มจากที่นี่ไปมากกว่า
ความง่วงนั้นน่ากลัวกว่าความเมื่อยล้า
ระยะทางจาก W1 สู่ HQ นั้นเพียง 7.6 กิโลเมตรทั้งยังไม่ต้องขึ้นดอยปุยอีกแล้วทำให้ความชันสะสมเหลือเพียงราวๆ 200 เมตร แต่ตลอดทางถนนผมเดินไปหลับไปแทบจะตลอดเวลา เวลาในโลกของความเป็นจริงราวๆ เที่ยงคืน – ตี1 ซึ่งปกติเป็นเวลาหลับสนิทของผม
ความง่วงเข้าโจมตีผมจนการเดินแทบไม่ได้ไปข้างหน้าเลยเป็นการเดินเซไปเซมาเสียมากกว่าจนทำให้ผมตัดสินใจต้องมองหาก้อนหินดีๆเพื่อนั่งหลับสั้นๆถึง 3 – 4 รอบ ระยะทางที่ดูไม่น่าจะยากระยะทางก็ไม่ได้ไกลอะไรแต่ผมกลับใช้เวลาถึง 2ชั่วโมง20 นาทีเพื่อลากสังขารง่วงๆกลับไป HQ
21 ชั่วโมงถ้วน ผมกลับมาที่ HQ ได้สำเร็จ!
ผมกินข้าว กินของหวานเหมือนทุกครั้งแต่คราวนี้ผมจัดแจงเอาเสื้อกันฝนมาปูกับพื้น โดยนอนบนเสื้อกันฝนแล้วยกขาพาดเก้าอี้เอาไว้เป็นการหลับโดยทิ้งสัมภาระทุกอย่างเอาไว้บนเก้าอี้และไม่ตั้งนาฬิกาปลุกเลย กะว่าถ้ามันจะตื่นตอนไหนก็เอา ….
ราวๆ 1 ชั่วโมงผมตื่นขึ้นมาเองอัตโนมัติ ร่างกายหลับไปค่อนข้างสนิทแต่ก็ไม่ได้สดชื่นขึ้นซักเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยความง่วงก็ได้หายไปแล้ว ประมาณตี2 ผมเปลี่ยนเสื้อตัวสุดท้ายเปลี่ยนรองเท้าอีกครั้ง และวิ่งออกจาก HQ ไป…
สรุป Loop A3 ผมใช้เวลาไปทั้งหมดถึง 9ชั่วโมง20นาที !!
A4 คือนิพพานอันยาวนาน
Loop A4 ไม่ได้มีเปอร์เซ็นความชันมากเท่า A2 หรือ A3 แต่กลับมีระยะทางที่ไกลถึง 12 กิโลเมตรเพื่อลงไปถึงห้วยตึงเฒ่า ระยะทางไปกลับรวม 24 กิโลเมตร เส้นทางค่อนข้างเละเพราะพื้นเป็นดินอ่อนผสมดินโคลนรวมกับฝนที่ตกมาก่อนหน้าและรถที่สัญจรไปมา ทำให้บางส่วนของเส้นทางนี้กลายเป็นโคลนเละๆที่ต้องหาทางหลบเอา แต่ถ้าให้เทียบกับ A2 หรือ A3 แล้ว A4 ถือว่าสบายกว่ามาก
ตลอดเส้นทาง 12 กิโลเมตรจาก HQ ไปถึงห้วยตึงเฒ่าผมแทบไม่ได้วิ่งอีกเลย ความง่วงมีกลับมาบ้างเป็นระยะๆ แต่ก็ไม่แย่เท่าช่วงก่อนหน้าแถมเส้นทางหลายส่วนกว้างจนเดินหลับก็ปลอดภัย ราวๆ 2 ชั่วโมง 10 นาทีก็สิ้นสุดทางลาดลง เจอกับพื้นราบๆเสียที
ทำลายสถิติ หรือทำลายสติ
ผมเหลือบมองนาฬิกาตอนนี้เป็นเวลา ตี5 แสดงว่าผมเคลื่อนที่ในสนามมาครบ 24 ชั่วโมงแล้ว เรียกได้ว่านี่เป็นสถิติสูงสุดที่ผมเคยใช้ในสนามวิ่งแถมนี่ยังไม่จบเลยด้วยซ้ำ เป้าหมาย 29 ชั่วโมงของผมคงสลายไปเสียแล้ว…. พาลคิดว่านี่ทำไมเราถึงต้องมาอยู่ตรงนี้เวลานี้ นี่เราเสียสติไปแล้วหรือเปล่า
สิ้นสุดความคิด ผมก็เริ่มเห็นบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่ไกลลิบๆ ฟ้าเริ่มมีแสงรำไรแม้ไม่เพียงพอที่จะมองเห็นสิ่งต่างๆได้ชัด แต่ก็พอที่จะทำให้เราไม่ตกลงไปในหลุมบ่อ ผมปิดไฟฉายคาดหัวทำตัวผ่อนคลายปรับสายตาให้เข้ากับแสงอาทิตย์…..
ไม่ถึงซะทีวะ!
จากพื้นราบไปจนถึง A4 นั้นยาวไกลมาก ไกลจนรู้สึกอารมณ์เสีย “ทำไมไม่เอามาตั้งตรงห้วยวะ”, “ทำไมไม่มีป้ายบอก”, “ทำไมๆๆ” ความหงุดหงิดประเดประดังเข้ามาจนกระทั่งสำนึกได้ว่า
“เออ…มึงกำลังมาทรมานตัวเองด้วยความศรัทธาของตัวมึงเองจะมาบ่นทำเหี้ยอะไรวะ !!”
เรียกได้ว่าวินาทีนั้นสมองมันเริ่มทะเลาะกับตัวเองแล้ว เถียงกันไปมาราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็ถึง A4 เสียที
12 กิโลเมตรขาลงใช้เวลา 2 ชั่วโมง 40 นาที…
งั้นขาขึ้นคงใช้เวลาอีกราว 4 – 5 ชั่วโมง ในสมองเริ่มคำนวณถึงเวลาจบที่เป็นไปได้ว่าอาจจะใช้เวลาราวๆ 32 – 33 ชั่วโมงซึ่งหมายความว่าเราจะเข้าเส้นชัยตอน…. บ่าย 2 !!!
เฮ้ย..แบบนี้จะอาบน้ำยังไง โรงแรมก็ต้องเช็คเอาท์ตอนเที่ยง ของก็ยังไม่ได้เก็บเลย พอคิดได้แบบนั้นก็รุ็ตัวแล้วว่าเราจะมาพิรี้พิไรไม่ได้แล้ว มีภาระและเพื่อนๆรออยู่…..
ที่ A4 ผมกินซาลาเปาไปหนึ่งลูก ในใจอยากกินอีกเพราะมันช่างอร่อยเหลือเกินแต่เป็นห่วงว่าคนหลังๆมาจะไม่ได้กินเลยฝืนใจกินไปแค่ลูกเดียวแล้วควักสตอเบอร์รี่อบแห้งในกระเป๋าขึ้นมารองท้องแทน
รองเท้าที่เปลี่ยนมาจาก HQ มีปัญหาเนื่องจากขนาดมันใหญ่เกินไปทำให้ทราย หิน กรวดเข้าไปกองอยู่เต็มรองเท้าแต่จะเททิ้งระหว่างทางก็ลำบากเลยฝืนๆมาจนถึง HQ ถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกแล้วว่ามันแสบนิดๆ เลยพักเอาทุกอย่างเทออกมาจากรองเท้าก่อน แล้วจึงค่อยๆวิ่งช้าๆออกจาก A4 ไป..
พลังจากเพื่อนๆช่วยได้จริงๆ !
ในขณะที่กำลังประเมินว่าจะทำยังไงให้สามารถกลับไปถึงโรงแรมได้ทันก่อนเที่ยง ผมก็ได้พบกับนักวิ่ง วิ่งสวนลงมา 2 – 3 คน และไม่คุ้นหน้าคุ้นตากันมาก่อนพอสังเกตุจาก BiB จึงได้รู้ว่า “เรากำลังสวนทางกับนักวิ่ง CM3 ที่เพิ่งปล่อยตัวไปตอนเช้าและทยอยลงมา…”
ไม่นานเท่าไหร่ผมเริ่มเจอกับนักวิ่งมากขึ้น มากขึ้น ส่วนใหญ่ก็ททักทายและให้กำลังใจกัน รูปประโยคจะเป็นราวๆนี้….
นักวิ่งCM3 : “โหเร็วจังเลย”, “สุดยอดมากเลย”, “สู้ๆนะครับ”
ผม : “สู้ๆนะครับ!”
ผมเพิ่งมาเข้าใจภายหลังว่าหลายคนเข้าใจว่าผมเป็นนักวิ่ง CM3 เหมือนกันและกลับตัวมาแล้ว เนื่องจากผมติด BiB ไว้ข้างหลังจึงไม่มีใครเห็นได้ว่าผมวิ่งในระยะไหน ซึ่งผมไม่สามารถอธิบายบอกทุกคนได้ ก็เลยได้แต่ใช้ Magic word ว่า “สู้ๆนะครับ!!” สวนกลับไป
ข้อดีคือ การได้เดินวิ่งสวนทางกับผู้คนอีกกว่า 200 ชีวิตทำให้เราไม่เหงาเลย ได้มองหน้าผู้คนที่ผ่านไปมาหลายคนเป็นสาวสวยชนิดที่แอบตกใจว่าทำไมหลวมตัวมาลงรายการที่แสนโหดร้ายขนาดนี้ บางคนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา เผลอๆเพลินๆ ปรากฏว่าสามารถลืมความเหนื่อยความหิวไปได้และทำเวลาได้เร็วกว่าที่วางแผนไว้เสียอีก
ส่วนข้อเสียคือ ผมต้องพูดคำว่า “สู้ๆนะครับ” ซ้ำไปซ้ำมาอยู่กว่าร้อยครั้งตลอดทาง ฮ่าๆๆ ซึ่งเอาจริงๆตอนนั้นก็อ่อนล้าเหลือเกินแต่ก็ต้องทักทายคนที่สวนไปมา บางคนมีขอถ่ายรูป บางคนเป็นคนรู้จักกันอยู่แล้วแวะคุยบ้างทำให้เสียเวลาไปพอสมควร แต่รวมๆข้อดีดูจะมากกว่าข้อเสีย
สรุปแล้วผมใช้เวลา 3 ชั่วโมง 6 นาทีในการกลับขึ้นมายัง HQ
ช้ากว่าขาขึ้นแค่ 26 นาที เพราะพลังของเพื่อนๆแท้ๆ
HQ รอบสุดท้าย !!
28 ชั่วโมงผ่านไปกลับมาที่ HQ อีกรอบ คราวนี้ HQ ที่เคยดูเงียบเหงามาตลอดคืนกลับคึกคักไปด้วยนักวิ่งระยะต่างๆ อาหาร น้ำท่า บริบูรณ์ขึ้นกว่าก่อนหน้าแต่ผมไม่สนใจแล้ว ผมจัดแจงเปิดถุงดร็อบแบ็คยัดของที่ไม่จำเป็นลงไป ไม่ว่าจะเป็นไฟฉาย อาหาร หรือแม้แต่ขวดน้ำ และเอาน้ำอัดลมทั้งหลายออกมากินอย่างหนำใจ แวะแซวน้องๆนักวิ่งที่เพิ่งเข้า HQ มานิดหน่อย แล้วออกจาก HQ ไปด้วยใจที่เบิกบาน
แดดเริ่มลามเลียแล้ว อากาศร้อนขึ้นราวกับว่ากับว่าอากาศหนาวเมื่อคืนนั้นเป็นเรื่องโกหก
10 กิโลเมตรสุดท้ายกับทางลงอีก 1000 เมตรถ้าไม่เจอกับอุบัติเหตุน่าจะไม่มีสาเหตุใดที่ไม่จบ ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาตามเส้นทางที่ไม่อาจมองเห็นได้ในตอนขึ้นเพราะยังมืดอยู่ ผ่านป่ารกๆ แล้งๆ แซงนักวิ่ง CM1 หลายๆคนลงมา
หน้าตาเบลอขีดสุดไม่มองกล้องไม่มองอะไรแล้ว
29ชั่วโมง 50 นาที
คือเวลาที่ผมกลับมาถึงวัด จากการประเมินเหลืออีก 2 กิโลเมตรจะถึงเส้นชัยผมตัดสินใจวิ่งอีกครั้งหลังจากเดินมาเกือบตลอดทาง และคิดว่าจะไม่เดินอีกจนกว่าจะถึงเส้นชัยช่วงแรกก็วิ่งราวๆ pace 6
พอมาถึงรั้วศูฯย์การแสดงสินค้าซึ่งเป็นเส้นชัยได้ยินเสียงเรียกออกมาจากข้างทางและพบว่า พี่นิคม พี่จี้ด พี่หมู และไมค์มารออยู่ตรงนี้ ตอนนั้นดีใจที่เจอเพื่อนๆมารออยู่เลยตะโกนเรียกว่า
“มาๆ ไปด้วยกัน !!!”
โดยไม่ได้ดูเลยว่าชาวบ้านเค้าพร้อมหรือเปล่าผมกดความเร็วลงเหลือราวๆ 5 นาทีต่อกิโลเมตร


เหลือบดูนาฬิกาแว่บๆพบว่าอีกไม่กี่วินาทีจะครบ 30 ชั่วโมงผมเลยวิ่งใส่หมดแม็ก จนเหยียบบันไดขั้นสุดท้ายจึงกดหยุดเวลา…

ในที่สุดก็จบเสียทีความทรมานทั้งหลาย
เส้นทางยาวนาน 30 ชั่วโมงและระยะทางกว่า 130 กิโลเมตร (รวมหลงไปเกือบ 2 กิโลเมตร)
ร่างกายไม่ได้บาดเจ็บมาก แต่เมื่อยฝ่าเท้าสุดๆและง่วงสุดๆ เอ๊ะอะจะหลับลูกเดียว ถือว่าเป็นความประทับใจแบบสุดๆเป็นเรื่องราวที่ลืมไม่ลงเลยทีเดียว
แต่ถ้าถามว่าจะมาใหม่อีกไหม? ลูกผู้ชายอย่างผมตอบเสียงหนักแน่นเลยว่า
“ครั้งเดียวพอแล้ววว…”
ขอบคุณเพื่อนๆที่มารับ และมาด้วยกัน
ขอบคุณพี่หมูที่ยัดเยียดน้ำอัดลม 1.25 ลิตรมาให้ในดร็อปแบ็ค
ขอบคุณเทรคกิ้งโพลของไมค์ที่ช่วยชีวิตหลายรอบมาก
ขอบคุณพี่นิคมที่ช่วยซัพพอร์ตที่ HQ
ขอบคุณพี่ฮ้วงที่มาช่วยขับรถให้
และขอบคุณเพื่อนๆในสนามที่ทำให้สนามนี้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมา
ไว้เจอกันใหม่สนามหน้า ที่ไหนซักแห่งในโลก…..