คราวที่แล้วผมเล่าเรื่องของการเดินทางจาก กรุงเทพไปบางแสนไปคร่าวๆ สิ่งหนึ่งที่ไม่ได้พูดถึงคือเรื่อง
“การกิน”
เอามาเสริมตรงนี้แล้วกันผมพยายามกินทุกๆ 2 – 3 จุดพัก กินเพียงเล็กน้อยก็ได้ แต่กินเข้าไปเรื่อยๆ อาหารที่กินก็ตามร้านสะดวกซื้อนั่นแหละทั้งหมดที่กินไปคือ
ซาลาเปา 7-11 จำนวน 2 ลูก
ข้าวปั้น จำนวน 3 ก้อน
เบอร์เกอร์ 3 ชิ้น
ไอติม 3 แท่ง
ลูกอม 1 ห่อ
ข้าวเหนียวสังขยา
ข้าวร้านคุณเล็ก 1 จาน
กล้วย 2 ลูก
นี่คือที่กินไปตลอดเส้นทาง 100 กิโล
ปีที่แล้วเป็นครั้งแรกที่ทางกลุ่มจัดเส้นทางต่อเนื่องในวันอาทิตย์ คือหลังจากวันเสาร์ที่เราวิ่งมา 100 กิโลเมตรจากกรุงเทพมาบางแสนแล้วนั้น จู่ๆเราก็คิดอุตริขึ้นมาว่า
“ถ้าเราจะท้าทายความเป็นมนุษย์ วันรุ่งขึ้นเราควรจะวิ่งต่อไปให้สุดหาดพัทยา”
ปีที่แล้วผมบาดเจ็บในวันเสาร์ก่อนจึงไม่ได้ร่วมวิ่งไปพัทยาด้วย ปีนี้จึงถือว่านี่คือครั้งแรกของผมในเส้นทางใหม่นี้….
05:00 เรางวงเงียลงมาจัดแจงฝากกระเป๋าหาของกินในร้านสะดวกซื้อก่อนจะไรไปรวมตัวที่ที่วงเวียนบางแสน ในความเป็นจริงเรามีคนที่ตั้งใจจะวิ่งในระยะ 160 กิโลเมตรนี้อยู่ 40 คน แต่เอาเข้าจริงที่มาปรากฏตัวเพียง 23 คนเท่านั้น แต่นั่นก็เยอะกว่าความคาดหมายของเหล่าแอดมินแล้ว

ราวๆ 6 โมงเราจึงได้ออกวิ่งจริงๆ
สำหรับผมเส้นทางนี้ทั้งหมดคือประสบการณ์ใหม่ ไม่มีข้อมูลใดๆอยู่เลยทำได้แค่ตามเส้นบนแผนที่ที่พี่หมูปักเอาไว้ให้เพียงอย่างเดียว
3 กิโลเมตรแรกเรียกได้ว่ามันคือการเดินเท่านั้น มีสลับวิ่งบ้างแต่เป็นเพียงระยะสั้นๆ อากาศยังดีเส้นเรียบหาดบางแสนตอนเช้าๆยังร่มรื่น เราเดินไปคุยไปโดยเป้าหมายของวันคือแค่ไปให้จบเท่านั้น

เลยจาก กิโลเมตรที่ 3 เรามาเจอกับถนนสุขุมวิทยาวๆ แดดเริ่มแรงขึ้นต่ยังคงมีร่มไม้จากฝั่งตรงข้ามบังให้เราอยู่หน่อยๆ มีร้านสะดวกซื้อยู่ราวๆกิโลที่ 6 พอให้เติมน้ำและพักได้
แผนเดินสลับวิ่งยังถูกงัดเอามาใช้ได้เรื่อยๆ ความบาดเจ็บยังไม่มีปรากฏชัดๆ
ราวๆ 8 โมงจากแดดอุ่นๆเริ่มกลายเป็นแดดที่ร้อนแรงมาก ผมจัดแจงใส่ปลอกแขน หมวกและแว่นตาดำเพื่อป้องกันตัวเองจากแสงแดด แต่หารู้ไม่ว่ามันยังไม่พอ นั่นคือความพลาดอย่างหนึ่งที่เดี๋ยวจะมาเล่าตอนหลัง
กิโลเมตรที่ 12 เราจะเจอกับปั้ม ปตท. ขนาดใหญ่ถือเป็นโอเอซิสสำหรับพักหลบแดดเข้าห้องน้ำได้อย่างดี ผมตามพี่ช้างมาทันในขณะที่พี่ช้างกำลังจะออกพอดี แทนที่จะวิ่งต่อผมตัดสินใจรอเพื่อนๆที่ตามมา
นี่เป็นการหยุดพักอย่างตั้งใจนานๆเป็นครั้งแรก
ราวๆ 15 นาทีถัดมากลุ่มหลังก็เริ่มทยอยมาและก็เข้าอีหรอบเดิมอีก คือเริ่มสั่งกาแฟ นั่งพักและอื่นๆผมพยายามเร่งให้ทุกคนออกจากปั้มเพราะยิ่งเราพักนานเท่าไหร่ นั่นหมายถึงแสงแดดจะมีโอกาสแผดเผาเราได้มากยิ่งขึ้น
ไม่นาน ผม ไมค์ พี่หมู วิว พี่พงษ์และเพื่อนๆอีกกลุ่มใหญ่ก็ทยอยออกจากปั้มมา เพียงแค่ 2 กิโลเมตรจากปั้มเราต้องตัดเข้าซอยเล็กๆ ที่ไม่น่าเข้าเลย เป็นซอยทางเข้าโรงพยาบาลสมิติเวชศรีราชา ตรงจุดนี้เราหยุดพอเพื่อนๆเพื่อบอกทางครู่นึง เนื่องจากมีโอกาสผิดได้สูง
เส้นทางนี้จะเลี่ยงสุขุมวิทไปยังสวนสาธารณะเกาะลอย ซึ่งเอาจริงๆแล้วเป็นเส้นทางที่ผมไม่ชอบเลย เพราะเป็นเส้นทางที่จะต้องผ่านเมืองที่ค่อนข้างพลุกพล่าน มีรถถอยเข้าออกและทางเท้าค่อนข้างแคบและพลุกพล่านเรียกว่าไม่สามารถวิ่งได้เลยดีกว่า
หลังจากราว 3 กิโลเมตรที่เดินทอดน่องผ่านเมือง ในกิโลที่ 17 เราก็กลับเข้าสู่ถนนสุขุมวิทอีกครั้ง พร้อมกับแดดที่แรงเป็นทวีคูณมีสิ่งหนึ่งที่ควร note ไว้ให้ชนรุ่นหลังคือ
หลังจากนี้ไปแดดจะส่องเข้ามาทางด้านหลังตลอด
ในท้ายที่สุดด้วยความที่ผมใส่กางเกงขาสั้นหลังขาผมไหม้เกรียมชนิดที่พุพองไปหลายวันจนถึงวันนี้ยังพุพองไม่เลิก ฉะนั้นควรใส่ขายาวมานะจ๊ะ
กิโลเมตรที่ 17 – 25 นั้นคือความทรมานตลอด 8 กิโลเมตรนั้นไม่มีร่มเงาอะไรให้เราพึ่งพิงได้เลยแม้แต่เงาจากสายไฟฟ้าซักเส้นยังไม่มี ท่ามกล่างถนนที่ระอุจนเรามองเห็นแอ่งน้ำไกลๆ มีเพียงร่มเงาของทางข้ามแยกที่พอให้เราหลบอาศัยได้
แต่ราวๆกิโลที่ 25 เราจะเจอกับอาคารรูปร่างสวยงามอยู่ขวามือมีร่มเงาตลอดทางตรงนี้เหมือนเป็นมอลล์อะไรสักอย่างที่ถือเป็นโอเอซิสที่ดีมากเพราะมีทุกอย่างที่เราต้องการ ทั้ง 7-11, ห้องน้ำ, ร้านกาแฟ แม้กระทั่ง KFC ที่สำคัญคือมันมีร่มเงาให้เราเดินได้ระยะทางยาวราว 1 กิโลเศษๆ
ถือว่าเป็นสวรรค์ชั่วคราวเลยทีเดียว….
แต่อาจจะต้องบอกว่านรกที่แท้จริงน่าจะเริ่มที่จุดนี้เช่นกัน…
เวลาราวๆ 11 โมงเราเหลือเส้นทางอีกมากกว่าครึ่งและเรากำลังอยู่บนถนนสุขุมวิทเส้นแหลมฉบัง-บางละมุง!!!
ตอนนี้เราเหลือกันราวๆ 4 ชีวิตแล้วมีผม ไมค์ วิวและพี่พงษ์ที่สลับกันเดินวิ่งลากกันไปมาท่ามกลางไอแดด
เลยกิโลเมตรที่ 31 ไปนิดหน่อยเราได้พบกับปั้ม ปตท. อีกที่หนึ่งคราวนี้ผมตัดสินใจที่จะต้องงัดเอาสิ่งนั้นมาใช้แล้วผมมองหน้าไมค์แล้วบอกว่า
“มันถึงเวลาที่ต้องใช้ไอเท็มลับแล้วมั้ง”
ไมค์พยักหน้ารับทันที
สิ่งนั้นคือน้ำแข็งถุงในร้านสะดวกซื้อนั่นเอง เพราะความร้อนนั้นเป็นภัยที่น่ากลัว ถ้าเราปล่อยให้ร่างกายร้อนจนเกินไปร่างกายอาจหยุดระบบภายในได้ หรืออย่างดีหัวใจเราก็จะเต้นแรงทำงานเยอะเกินกว่าความจำเป็นทำให้เราสูญเสียพลังงานโดยใช่เหตุ ซึ่งการสูญเสียพลังงานที่กิโลเมตรที่ 31 ไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
วิธีการที่ลองคือเอาถุงน้ำแข็งนั้นถูไปทั่วๆนั่นแหละ แต่จุดที่ดีที่สุดคือบริเวณคอด้านข้างตรงเส้นเลือดใหญ่ เพราะมันจะไปลดอุณหภูมิของเลือดเส้นใหญ่ที่ไหลเวียนไปทั้งร่างกาย ปกติผมจะสลับซ้ายขวาไปเป็นพักๆเมื่อไหร่ที่เย็นไปก็สลับด้าน เท่าที่ลองสามารถควบคุมอุณหภูมิไม่ให้สูงขึ้นได้จริงๆ เวลาน้ำแข็งเริ่มละลายผมก็เอาน้ำนั้นราดหัวลดความร้อนลงไปได้เยอะอีกเหมือนกัน
เราเดินเพลิดเพลินอยู่กับน้ำแข็งอยู่ราวๆ 2 กิโลก็เริ่มออกวิ่งได้อีกครั้ง เราวิ่งสลับเดินไปเรื่อยๆจนถึงกิโลเมตรที่ 38 ต้องบอกว่าระหว่างนี้ไม่มีเรื่องอะไรเล่านอกจาก ร้อน ร้อน ร้อนเหี้ยๆ ร้อนจนต้องร้องขอชีวิต ร้อนจนนึกว่าตายแล้วกำลังอยู่ในกระทะทองแดง
กิโลเมตรที่ 38 เรามองเห็นบ้านสุขาวดี ถือนึกว่าเราตายไปอยู่ในแดนสุขาวดีแล้วแต่ก็พลันนึกได้แว่บๆว่าเอ๊ะที่มันทางเลี้ยวของเรานี่หน่า ที่ป้ายสุขาวดีเราเลี้ยวเข้าซอยไปเจอกับร่มเงานิดหน่อย เป็นซอยเล็กๆที่ไม่มีไหล่ทาง ในใจเริ่มหวั่นอีกแล้ว เมื่อไหร่ที่หลุดจากสุขุมวิทเราน่าจะเจอชุมชน
แล้วก็อย่างที่คิดแทนที่เราจะไปตามสุขุมวิทเข้าเส้นพัทยาเหนือ พี่หมูลากให้เราผ่านพัทยานาเกลือซึ่งเป็นชุมชนอีกแล้วที่แย่ไปกว่านั้นตลอดเส้นมันคือเนิน!
ถึงตรงนี้เหลือผมกับไมค์เพียงสองคนเราเลยเปลี่ยนแผนเป็นการเดินเร็วๆแทน เราแวะเติมน้ำแข็งหลอดถุงที่สองแล้วออกเดินสวนเนินไปด้วยความเร็วราวๆ 11 นาทีต่อกิโลเมตรซึ่งเอาจริงๆสร้างความเมื่อยพอสมควร ระยะทางเส้นนี้ยาว 4 กิโลเมตร
เราเริ่มมองเห็น Amari อยู่ไม่ไกลนั่นเป็นสัญลักษณ์ที่บอกให้รู้ว่าเราใกล้พัทยาเหนือแล้ว สุดเนินเป็นทางลงเราเริ่มสับเท้าวิ่งไปตามทางลงจนถึงหาดพัทยา แต่เอาเข้าจริงๆนี่มันเพิ่งกิโลเมตรที่ 44 เท่านั้นแสดงว่าปลายทางของเรายังอยู่อีกไกลพอสมควร ผมหาร่มเงาแวะเปลี่ยนถุงเท้าลวกๆแล้วออกเดินต่อ ซักพักไมค์เริ่มบ่นถึงความหิวแน่นอนว่าอยู่พัทยาแล้วของกินนั้นมากมาย
ดับเบิ้ลว็อปเปอร์ของเบอร์เกอร์คิงถูกลำเลียงเข้าสู่ทางเดินอาหารอย่างรวดเร็ว แป็ปซี่ เฟรนซ์ฟรายช่วยเติมพลังงานให้เรา แอร์เย็นๆในเบอร์เกอร์คิงเปรียบดั่งเส้นชัย แต่นั่นแหละเอาจริงๆเรายังคงไม่ถึง ….
ราวๆ กิโลเมตรที่ 48 เราอยู่ ณ สุดหาดพัทยาใต้เราแวะเข้าท่าเรือ แหลมบาลีฮายเพื่อถ่ายรูปเป็นหลักฐานว่ามาถึงจริงๆนะ

จากนี้ไปแผนที่ค่อนข้างสับสนเราขึ้นเขาตามแผนที่ที่ร่างเอาไว้ผ่านเส้นทางเล็กๆ ชันๆ จากแผนที่ดูแล้วเหมือนให้แวะที่เขาพระตำหนักและอะไรซักที่นึงเลยแวะอีกที่นึงก่อน

ลงจากวัดพระใหญ่ขึ้นเขาพระตำหนัก

ลงตามเส้นทางลงเขาไปเรื่อยๆได้เจอกับรถตู้ที่มารอเซอร์วิสนักวิ่งพอดี เราแวะเติมน้ำนิดหน่อยแล้วออกวิ่งต่อ ตอนนี้เราวิ่งอยู่ที่ความเร็ว 5 นาทีกว่าๆต่อกิโลเมตรเส้นทางลาดลงนำเราไปสู่ชายทะเลหาดจอมเทียน
ในใจคิดว่านี่คงจบแล้วแต่….. มันไม่ใช่เลย ผมกับไมค์อัดกันเต็มที่อยู่เลียบหาดราว 1 กิโลเมตรจนเหนื่อยเลยหยุดแล้วดูแผนที่….
เฮ้ย จุดบนแผนที่มันเพิ่งเคลื่อนมาได้นิดเดียวเอง.. ผมบอก
งั้นเราเดินกัน..
ตอนนี้คือกิโลเมตรที่ 54 คิดว่าอีก 6 กิโลเมตรเราจะถึงเส้นชัยงั้นถ้าเจอแดด เราวิ่งแล้วกัน
หาดจอมเทียนไม่เหมือนบางแสนหรือพัทยาเพราะเส้นทางเดินค่อนข้างลำบากคือมีคนนั่งกินพลุกพล่าน ประกอบกับบางครั้งมีคนเอารถระบะขึ้นมาจอดเสยฟุตบาททำให้แค่การเดินหลายๆครั้งยังลำบาก แต่เราก็พยายามเดินสลับวิ่งไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนหาดจอมเทียนจะทอดยาวไม่มีที่สิ้นสุด
ในที่สุดชายหาดระยะ 7 กิโลเมตรก็ใกล้จบลงเราเห็นป้ายร้านลุงไสวอยู่ไม่ไกลแดดยังคงแผดเผา ผมกับไมค์วิ่งไปด้วยแรงที่มีสู่เส้นชัย ที่เส้นชัยมีพี่จี้ดอยู่แต่เราสองคนกลับพุ่งตรงเข้าแฟมมีลีมาร์ทใกล้ๆเพื่อหนีแดดและกินน้ำ เป็นอันปิดฉากเส้นทางอันยาวนาน 160 กิโลเมตร
ใช้เวลาไปเกือบเท่าวันแรก
ราวๆ 5 – 6 โมงนักวิ่งก็ทยอยเข้ามาแล้วแวะอาบน้ำทานข้าวเพื่อแยกย้ายกันไปเผชิญชีวิตกันต่อในวันรุ่งขึ้น

ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีและโหดร้ายบนเส้นทางที่เราเล่าได้ว่า
ครั้งหนึ่งเราเคยใช้สองขาของเราเองเดินทางจากกรุงเทพไปยังสุดหาดจอมเทียนพัทยา
แม้ว่ากิจกรรมของปีนี้จะหมดลง แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกและเป็นปลายทางของผมแต่ผมจะยังคงอยู่ในเส้นทางนี้ในฐานะผู้ช่วยเหลือนักวิ่งทั้งหลายต่อไป
แล้วเจอกันที่เส้นชัยในปีหน้า… คราวนี้ผมจะรอทุกคนเอง…..