They Spend a lot of time thinking how to start their story and not a lot of time thinking how to end them
คนส่วนใหญ่ใช้เวลามากมายไปกับการคิดว่าจะเริ่มเรื่องราวของเขายังไงแต่ไม่ได้คิดว่าเรื่องราวนั้นจะจบอย่างไร
ประโยคข้างบนผมได้ยินมาจาก Master class ของ Malcolm Gladwell หนึ่งในนักเขียนที่เขียนได้ดีที่สุดติด best seller มากมาย แน่นอนว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ผมกำลังจะเล่านี้หรอก แต่มันทำให้นึกถึง จุดจบ
สำหรับผม บางแสนร้อย(BS100) เป็นบันทึกความทรงจำที่สำคัญอันหนึ่งในชีวิต
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ เดือนสิงหาคมปี 2015 ได้มีการชักชวนจากเพื่อนๆให้ลองไปวิ่งเล่นๆจาก สวนลุมพินีกรุงเทพฯ ไปยังหาดบางแสนระยะทางราวๆ 100 กิโลเมตร..
ผมเองยังไม่เคยมีประสบการณ์การวิ่งไกลขนาดนี้มาก่อนแต่ยังไงผมก็ลงสมัครงานวิ่งที่ชื่อว่า TNF100 ไว้แล้วงั้นสนามนี้น่าจะเป็นแบบทดสอบที่ดี ในตอนนั้นเราแบกอุปกรณ์ทุกอย่างไปเองจากกรุงเทพ ไปบางแสน
โดยคิดว่าเราจะวิ่งจบใน 15 ชั่วโมง ฉะนั้นถ้าเราออกจากสวนลุมตี 5 เราจะถึงบางแสนไม่เกิน 2 ทุ่ม นี่คือแผนง่ายๆของเรา เอาเข้าจริงๆคราวนั้นเราถึงบางแสนตอนราวๆ ตี 2 !!
นั่นเป็นครั้งแรกของบางแสนร้อย….

สิ่งที่ผมไม่เคยบอกเล่าระหว่างทางนั่นคือ เส้นทางบางแสนร้อยนั้นเป็นครั้งแรกที่ทำให้ผมมีความรู้สึกดีๆกับคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นแค่เพื่อนกันธรรมดา ตลอดเส้นทางเป็นการคอยอัพเดทตลอดเวลาว่าตอนนี้ถึงไหนแล้ว และเค้าเป็นคนที่มารับผมที่เส้นชัยเช้าวันรุ่งขึ้น ทั้งๆที่ไม่จำเป็นก็ได้
นั่นก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นเรื่องราวอีกเรื่องหนึ่งที่คู่ขนานกันไปกับ บางแสนร้อย…
ต่อมาบางแสนร้อยได้เชื้อเชิญคนอื่นๆเข้ามาร่วมเส้นทางแห่งความทรมานที่มีความสุขนี้ ปีแล้ว ปีเล่า จำนวนคนสนใจมากขึ้นระบบเริ่มดีขึ้น
แต่ในใจผมเรื่องราวมันไม่ได้ต่างจากเดิมเลย … มันยังคงร้อนบัดซบ ยังคงเหนื่อย และยังคงมีคนๆเดิมนั้นรออยู่ที่ปลายทางในเช้าวันรุ่งขึ้น
เสาไฟทุกต้น จุดเช็คพ็อยต์ทุกอันล้วนแต่มีเรื่องราวของเธอผสานอยู่ในนั้นด้วย ….
ปีนี้บางแสนร้อยครั้งที่ 4 ก็ถูกจัดขึ้นอีกครั้ง
คนยังคงสนใจมากมายเหมือนเดิม แดดยังคงทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม แต่ปีนี้ไม่มีเธอคนนั้นที่ปลายทางอีกแล้ว บางแสนร้อยของผมแตกต่างไปจากเดิม เลยตัดสินใจว่านี่คงเป็นปีสุดท้ายที่จะลงวิ่งในสนามนี้ปีต่อๆไปคงจะทำตัวเป็นคนซัพพอร์ตแทน ดังนั้น
ผมจะทำสิ่งที่คิดไว้ใน Season 1 ให้สำเร็จ
เราคุยกันในทุกปีว่าเมื่อไปถึงบางแสนเราจะกินไก่ จิบเบียร์นั่งเตียงผ้าใบกันแต่มันไม่เคยเป็นจริงซักครั้ง มันดึกเกินไปมันเหนื่อยเกินไป ดังนั้นปีนี้ผมจะไปทำอย่างที่เคยว่าเอาไว้ตั้งแต่แรก เพื่อให้มันเป็น season สุดท้ายของผมเช่นกัน

ฉะนั้นงานนี้ผมต้องวิ่งในอยู่ในช่วง 15 ชั่วโมงกว่าๆ จากปกติที่วิ่งอยู่ราวๆ 21 ชั่วโมง งั้นทำไงดี? …
เคล็ดไม่ลับ Sub 16
กลยุทธ์ของผมคือ ผมพบว่าปีก่อนๆนั้นเวลาที่เสียไปมักเสียไปกับบางกิโลเมตรที่ใช้เวลานานมาก
คือตั้งแต่ 38 – 90 นาทีต่อกิโลเมตร เป็นไปได้อย่างไร?
ผมพบว่าเวลาที่เสียไปส่วนใหญ่มาจากการนั่งพัก นานๆซึ่งก็ไม่ได้ช่วยเรื่องการฟื้นฟูร่างกาย เท่าไหร่ เป็นเรื่องของความพึงพอใจเสียมากกว่า
งั้นควรพักนานเท่าไหร่ดี? ตามหลักการแล้ว 5 นาทีคือเวลาพักที่ร่างกายสามารถฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพที่พอใช้งานได้แล้วพักนานกว่านี้ไปก็ไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ ดังนั้นกลยุทธ์แรกคือ
พักไม่เกิน 5 นาที
ลองคำนวณเล่นๆว่าถ้าพักแบบนี้ในปีก่อนหน้าจะทำให้ผมได้เวลาคืนมาถึง 3 ชั่วโมงครึ่ง แปลว่าแค่วิ่งเท่าเดิมก็สามารถจบได้ใน 18 ชั่วโมงแล้ว เซฟเวลาที่ต้องการไปได้ครึ่งนึง
อันที่สองผมมองหาช่วงกิโลที่ใช้เวลาตั้งแต่ 15 – 38 นาที พวกกิโลเหล่านี้น่าจะเป็นการพักสั้นๆ ตามร้านสะดวกซื้อทั้งหลาย ซึ่งเอาจริงๆก็แทบไม่ได้ช่วยให้ร่างกายดีขึ้นเลย ดังนั้นกลยุทธ์ที่สองคือ
ยึดระยะของจุดพักออกไป
จากเดิมเรียกว่าพักกันแทบทุก 7-11 คราวนี้ผมเปลี่ยนเป็นพักทุก 10, 7, 5 กิโลเมตร คือช่วง 20 กิโลเมตรจะพักทุกๆ 10 กิโลเมตรเท่านั้น ส่วนหลังจากนั้นจะพักทุกๆ 7 กิโลไปจนได้ 50 กิโล แล้วที่เหลือจะพักทุก 5 กิโลเมตร ถ้าทำแบบนี้ผมจะเรียกเวลาคืนกลับมาอีกราวๆ ชั่วโมงนึง
การซ้อม
ที่เหลือคือซ้อมให้ยืนระยะให้ยาวแล้ว…. การซ้อมของผมก็ไม่ซับซ้อนเลย แค่
B2B2B2B ให้ได้ หรือพูดง่ายๆคือวิ่งระยะยาวๆหน่อยติดกันซัก 4 วัน ระยะไม่โหดร้ายมาก ปกติผมวิ่งตอนเช้าก่อนไปทำงานด้วยซ้ำเท่าที่ซ้อม 1 เดือนก่อนบางแสนร้อยคือ
15:15:21:21 , 15:15:30:30, 15:15:35:35, 20:20:30:30 และ 15:15:21:21 ทำเท่านี้เอง
วันจริง :
11 กิโลเมตรแรกผมวิ่งตามพี่นิคม นักวิ่งขาแรงไปด้วย pace ราวๆ 6 หรือต่ำกว่านิดหน่อยไปตลอดทาง ช่วงนี้เองที่ได้เห็นปาฏิหาริย์จากการฝึก B2B2B2B คือแทบไม่เหนื่อยเลยหัวใจทำงานดีสามารถวิ่งได้เรื่อยๆโดยไม่แตะน้ำซักหยดเดียว
ช่วง 11 – 16 ช่วงนี้เริ่มลดความเร็วลงเพราะต้องมีขึ้นลงบันไดอยู่หลายครั้ง ข้ามถนนต้องรอสัญญาณไฟทำให้ความเร็วตกลงมาหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาพักที่ดี ตอนนี้เราเริ่มเจอกับ Wave 4 บ้างแล้ว
16 – 27 กิโลเมตรช่วงนี้เราอยู่ถนนเทพารักษ์ ซึ่งมืดและทางเท้าไม่ค่อยดี มีคนเมาอื่นๆอีกมากมายทำให้เราเร่งความเร็วสู้กับความวุ่นวายนี้ วิ่งเฉลี่ยอยู่ราวๆ 6.5 นาทีต่อกิโลเมตร ช่วงแรกๆมีพี่นิคมตามมาอยู่ใกล้ๆแล้วก็หายไปตอนไหนไม่รู้ ตอนนี้แทบไม่เหลือใครแล้วส่วนใหญ่ผมวิ่งอยู่คนเดียวในความมืดในใจตอนนั้นคิดว่าข้างหน้าน่าจะมี พี่โย พี่ช้าง พี่จุ้ยและน้องอีกคน ยังไงก็คงตามไม่ทัน เลยตัดสินใจพักที่กิโลที่ 27 เพื่อกินเพิ่ม ปรากฏว่าที่นี่ผมได้พบกับพี่ช้างและน้องอีกคนตามมา ปรากฏว่าเราอยู่ข้างหน้า ช่วงนี้เริ่มเจอกับนักวิ่ง Wave 3, Wave2 บ้างแล้ว
28 – 42 กิโลเมตรช่วงนี้เริ่มเปลี่ยนจากวิ่งยาวๆ กลายเป็นวิ่งสลับเดินบ้างแล้วโดยปล่อยให้พี่ช้าง ทิ้งไปผมยังคงอยู่คนเดียวในความมืดความเร็วตกลงไปอยู่ที่ 7นาทีกว่าๆต่อกิโลเมตร ยิ่งช่วงท้ายๆของกิโลที่ 42 ราวๆ 3 – 4 กิโลผมแทบไม่ได้วิ่งเลยเนื่องจากพลังงานตกลงไปเยอะ ประกอบกับไม่มีร้านค้าให้ซื้ออะไรเลย เลยไม่สามารถเติมพลังงานกลับมาได้ ช่วงนี้อาศัยอมลูกอมไปเรื่อยๆ
กิโลที่ 42 คือบางนาตราด ตอนนี้ผมเข้าสู่ถนนที่ยาวที่สุดในสนามแล้ว แต่เป็นครั้งแรกที่ผมมาถึงถนนเส้นนี้ตอนมืด ผมใช้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมง 40 นาทีในการมาถึงถนนเส้นนี้ ความหวัง Sub 16 น่าจะเป็นไปได้แน่ๆ ไปได้ไม่นานผมก็ไปทันพี่ช้างกับโจ้จาก Wave1 กำลังวิ่งอยู่เลยเข้าไปร่วมด้วย ตอนนี้หิวมากจำเป็นต้องหาที่เติมพลังงานโดยด่วน
และแล้วในกิโลเมตรที่ 46 ผมก็เจอกับ 7-11 และปั้มน้ำมันที่นี่มี support มารอเพื่อนๆของตัวเองบ้างแล้ว ปีนี้นักวิ่งเร็วมากมาถึงบางนาตราดกันตั้งแต่ยังไม่สว่าง
แต่ออกจากปั้มมาได้หน่อยเดียวฝนก็เริ่มตกลงมา จากเม็ดเล็กๆกลายเป็นฝนห่าใหญ่ที่ทำให้เราเปียกไปทั้งตัว ในความเป็นจริงผมค่อนข้างชอบวิ่งกลางฝนเพราะมันทำให้เรามีสมาธิกับเส้นทางมากคือเราแทบไม่สนใจอะไรเลยนอกจาก เส้นทาง เสียงฝน และความมืดที่รายล้อมเรา
กิโลเมตรที่ 46 – 61 ช่วงนี้เรียกได้ว่าวิ่งกลางสายฝนเกือบตลอดแน่นอนในทำให้ความเร็วของเราลดลงไปอยู่ราวๆ 7 – 9 นาทีต่อกิโลเมตรแต่ก็ยังเป็นความเร็วที่เราคาดหวังไว้อยู่ ช่วงนี้เราไม่เจอใครแล้วเข้าใจว่าน่าจะมีพี่โยเพียงคนเดียวที่นำเราสองคนอยู่ …
และแล้วราวๆ กิโลเมตรที่ 63 พี่โย สุดยอดนักวิ่งวีแกนก็ตามเรามาข้างหลังแบบงงๆ คือพี่โยพักกินบะหมี่เลยทำให้เราหลุดออกมาเป็น 2 คนแรกไป คราวนี้กลายเป็น 3 คนแล้ว
63 – 70 เราผลัดกันเดิน ลากไปจนถึงแม่น้ำบางปะกงราวๆ 7 โมงเช้าใช้เวลาไปทั้งหมด 9 ชั่วโมง สะพานบางปะกงสวยผิดกับการมาตอนเที่ยงลิบลับ

ตอนนี้พวกเรามั่นใจว่าร้านคุณเล็กน่าจะยังไม่มีคน แน่ๆ เลยเข้าไปนั่งรออยู่พักนึง พี่นิคม พี่จุ้ย พี่โก้และคนอื่นๆก็ตามมาพอดี เราลังเลกันพักใหญ่ว่าจะรอกินข้าวหรือจะออกไปเลยดี ในที่สุดก็รอกินข้าว ซึ่งทำให้กิโลที่ 71 นั้นใช้เวลาไปถึง 49 นาทีเข้าอีหรอบเดิมอีกแล้ว ….
71 – 79 เราไปแวะอีกครั้งที่ 7-11 ศรีปทุมตอนนี้แดดเริ่มแรงแล้วเราต้องอาศัยหลบนั่งกินไอติมที่ 7- 11 กันแล้วก็เริ่มเห็นคนอื่นๆผ่านไป คนสองคน ตอนนี้เราเริ่มไม่สนใจความเร็วแล้วแค่ไปให้ถึงก็พอใจแล้ว แต่เวลาที่เสียไปที่ร้านคุณเล็กบางปะกงก็น่ากังวลอยู่หน่อยๆ
80 – 83 เราเดินสลับวิ่งโดยส่วนใหญ่เป็นเดินมากกว่า จนกระทั้งมาถึงสะพานเลียบทะเล ชลมราควิถี พี่จุ้ยก็ตามมาทันพอดี ช่วงนี้เรายังพยายามคงการเดินสลับวิ่งไว้อยู่แต่เริ่มวิ่งไกลเกิน 800 เมตรไม่ได้แล้ว จนกระทั่งเจอน้ำอ้อย ซึ่งก็ช่วยให้เราสดชื่นขึ้นมาได้อีก
กิโลเมตรที่ 86 – 89 เรียกว่าเดินตลอดเลย เพียงแต่เดินให้เร็วขึ้นเท่านั้นจนกระทั่งพี่โก้เริ่มตามมาได้ ระหว่างนั้นพี่ช้างได้หายไปอยู่ข้างหลังแล้ว เรียกได้ว่าหมดกันทุกคนจริงๆ
90 – 93 ผมเริ่มกลับมาวิ่งได้อีกครั้งเพราะเริ่มเห็นป้ายโลตัสอ่างศิลา ซึ่งจำได้ว่าจากโลตัสไปคือ 10 กิโลเมตรสุดท้ายสู่วงเวียนบางแสน
93 – 98 กิโลเมตรช่วงนี้เป็นเนินลง ผมเริ่มมีเรี่ยงแรงแล้วก็เริ่มวิ่งลงมาเรื่อยๆ โดยแทบไม่ได้หยุด มีแวะกินไอติมแถวอ่างศิลาไปหน่อยนึง ตอนนี้เริ่มแซงพี่โก้มาไกลแล้ว
กิโลที่ 100 พี่ช้างวิ่งมาพร้อมกับเพลงพี่ตูนพอดี้สแลมป์กระหึ่มผมที่ไม่มีอารมณ์จะวิ่งแล้วเลยวิ่งตามพี่ช้างมาจนถึงหาดบางแสน เราเดินกันราวๆ 400 เมตร ผมจึงหันไปบอกพี่ช้างว่า
“เหลืออยู่ราวๆ 2 กิโลเราจะวิ่งให้หมดเลยนะพี่”
พี่ช้างพยักหน้า
หลังจากนั้นผมกับพี่ช้างกับสับราวๆ 5 นาทีต่อกิโลเมตรเพื่อไปถึงวงเวียนบางแสน

เราเข้ามาเป็นคนที่ 4-5 เป็นอันจบระยะทาง 100 กิโลเมตรอันยาวนานนน…

เป็นอันปิดฉากความทรงจำทั้งหมดกับบางแสนร้อย ต่อจากนี้ไปบางแสนร้อยจะเป็นเพียงความทรงจำที่ทั้งดีและแย่ เท่านั้น
เรารอรับนักวิ่งที่ทยอยเข้ามาจน 4 ทุ่มจึงแยกย้ายไปนอน และพรุ่งนี้เราจะต้องไปเจอกับเส้นทาง บางแสน พัทยาอีก 60 กิโลอีก ……