ถ้าบอกว่าสิ่งที่หล่อเลี้ยงให้มนุษย์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ คือ อากาศ อาหาร และน้ำ
สิ่งที่พยุงให้มนุษย์มีกำลังจะมีชีวิตต่อไปก็คือ “ความหวัง”
Martin Luther King, Jr. กล่าวไว้ว่า
“We Must accept finite disappointment, but never lose infinite hope.”
ก่อนหน้านี้เมืองไทยเรามีเรื่องตื่นเต้นให้ติดตามคือเรื่องของ ทีมฟุตบอลเด็กในจังหวัดเชียงรายที่ประสพภัยเข้าไปติดในถ้ำ แรกๆผมคิดว่าน่าจะออกมาได้ใน 2 – 3 วันแต่แล้วสถานการณ์ก็เลวร้ายลงเรื่อยๆจนปาเข้าไปวันที่ 10
ในขณะนั้นในใจผมคิดอยู่เสมอว่าถ้าเด็กเหล่านี้ไม่รู้ว่าจะมีคนมาช่วยไหม ไม่รู้ว่าจะออกไปได้เมื่อไหร่และเมื่อสิ้นความหวังก็ไม่น่าจะเหลือชีวิตรอดออกมาได้…..
ดีใจที่ผมคิดผิด ความหวังจากความเชื่อมั่น ความหวังจากความไม่รู้ ยังหล่อเลี้ยงจิตใจคนเหล่านี้ให้เขายังดำเนินชีวิตต่อไปได้ และสุดท้ายก็อย่างที่เรารู้ๆกัน ทั้ง13ชีวิตรอดออกมาจากถ้ำได้โดยปลอดภัย
ชีวิตเราทุกคนก็ติดอยู่ในถ้ำเหมือนกัน ถ้ำอันมืดมิดที่เราสามารถใช้ไฟฉายส่องได้แค่ระยะมองเห็น เราไม่อาจคาดเดาปีหน้า เดือนหน้า หรือแม้แต่อาทิตย์หน้า บางครั้งแค่วันพรุ่งนี้ยังเป็นเรื่องยากที่จะคาดเดาด้วยซ้ำ!
ดังนั้นสิ่งที่ยังค้ำจุนให้เราไปข้างหน้าได้คือ “ความหวัง” หากสิ้นไร้ซึ่งความหวังแล้วเราไม่อาจจะหาเหตุผลที่จะมีชีวิตต่อไปได้เลย
ถ้าจะบอกว่า “ความหวัง” คือเชื้อเพลิงในการขับเคลื่อนชีวิตจึงไม่ผิดนัก…
สมัยยังเด็ก ผมหงุดหงิดพ่อแม่ผมทุกครั้งที่พวกเขาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลทุกงวด งวดละหลายใบแทนที่จะเอาเงินเหล่านั้นไปทำอะไรที่มีประโยชน์กว่านี้ แต่มาถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ว่าด้วยโครงสร้างของสังคมทำให้พวกเขาแทบไม่มีความหวังอะไรเหลืออยู่เลยบางทีการได้มีความหวังเล็กๆน้อยๆ อาจเป็นกำลังอันเดียวที่ยังขับเคลื่อนให้พวกเขารอวันที่ 16 หรือ 1 ได้ แม้ว่าที่สุดแล้วพวกเขาจะไม่ได้ร่ำรวยหรือทำกำไรจากการเล่นหวยแต่ด้วยกำลังนั้นเองที่ยังทำให้เขามีชีวิตต่อได้โดยไม่ตายซากไปก่อน
ช่วงหลังๆมา เราพบว่าในประเทศเราเริ่มมีความเชื่อแปลกๆมากขึ้น
มีร่างทรงต่างๆมากมายที่ไม่น่าจะน่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่ก็มีคนกราบไหว้ มีนักบวชที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตนตามหลักของศาสนาแต่ก็มีคนศรัทธา
เรากราบไหว้ต้นไม้ นางกวัก จอมปลวก ศาลเพียงตา สัตว์พิการ หรือแม้แต่รูปในอินเทอร์เน็ต จนคนมากมายเกิดคำถามว่า มันเกิดอะไรขึ้นกับสังคมของเรา?
สมัยยังวัยรุ่นผมเคยได้ไปคลุกคลีกับผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์ และแน่นอนผมนำเอาความไม่เชื่อของผมติดไปด้วยตอนนั้นผู้เผยแพร่ท่านนั้นพูดกับผมว่า
“ไม่มีใครที่เข้มแข็งได้ตลอดทั้งชีวิตหรอก วันหนึ่งที่คุณอ่อนแอคุณจะมองหาที่ยึดเหนี่ยว”
ในวันนั้นผมยังไม่เข้าใจและปฏิเสธเสียงแข็งว่าผมนี่หละจะเป็นที่ยึดเหนี่ยวของตัวเอง !!
จนเวลาล่วงเลยไปมากกว่า 20 ปี ทั้งประโยคและแววตาที่เชื่อมั่นเต็มเปี่ยมของผู้เผยแพร่ท่านนั้นยังติดอยู่ในความคิดของผมและเมื่อถึงเวลาที่ผมอ่อนแอจริงๆ สุดท้ายแม้ผมเลือกเอาตัวเองเป็นที่พึ่งอย่างที่ว่าไว้ในคราวนั้นจริงๆ แต่ในช่วงเวลาหนึ่งมันก็มีความคิดแว่บนึงที่จะหาทางที่ง่ายกว่าที่จะพึ่งพิง หรือแม้แต่จบการมีชีวิตอยู่ของตัวเอง
เหตุการณ์นั้นทำให้ผมเข้าใจฟังก์ชันของศาสนาที่แท้จริง !
ทั้งหมดข้างล่างจากนี้คือความเข้าใจส่วนตัวของผู้เขียนทั้งสิ้น และยินดีที่จะให้มีการแลกเปลี่ยนกันไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดก็ตาม….
ศาสนาทำหน้าที่เหมือนเป็นบ่อเติมพลังงานแห่งความหวัง ที่แลกมาด้วยความเชื่อ เมื่อเราเชื่ออย่างสนิทใจในแนวทางของศาสนา ศาสนาจะตอบแทนให้ทุกคนมีความหวังอย่างใดอย่างหนึ่งที่จะช่วยเพิ่มพลังงานของชีวิตให้ ทำให้เราตั้งคำถามน้อยลงและเพิ่มความสุขในการดำรงค์ชีวิต ฟังก์ชันนี้จะมีประโยชน์มากในสถานการณ์ที่เราช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และต้องการการรวกันเป็นกลุ่มก้อนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า และทำให้มนุษย์ธรรมดาๆกลายเป็นสุดยอดแห่งมนุษย์
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ผู้คนนับถือศาสนาน้อยลง เพราะพวกเรามีทางเลือกมากขึ้น และช่วยตัวเองได้มากขึ้น ไสยศาสตร์ และสิ่งลี้ลับทั้งหลายล้วนทำงานในฟัง์ชันเดียวกันกับศาสนาในส่วนของการเติมความหวัง เมื่อสังคมมีผู้คนศรัทธาในสิ่งลี้ลับมากขึ้นแปลว่าสังคมนั้นกำลังอ่อนแอลง ผู้คนรู้สึกไร้ซึ่งอำนาจและอ่อนแอจึงต้องไขว่คว้าหาที่พึ่ง
เปรียบได้กับคนที่ลอยคออยู่กลางทะเลที่ไข่วคว้าเอาทุกอย่างที่ลอยมาแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเพียงกิ่งไม้ที่พุพังก็ตาม
เพียงเพื่อสุดท้ายแล้วเราจะได้มาซึ่งความหวังที่หล่อเลี้ยงให้ชีวิตเราอดทนที่จะลอยคอต่อไป นานพอที่จะรอด กิ่งไม้ที่พุพังนั้นก็อาจมีอำนาจใกล้เคียงกับคทาวิเศษในสถานการณ์แบบก็เป็นได้