นั่งรถไฟไปขุนตาล อุทยานแห่งชาติเดียวที่ไปได้ด้วยรถไฟล้วนๆ (ตอนที่ 2: เดินขึ้นขุนตาล)

Posted by

ความเดิมจากตอนที่แล้ว : เดินทางด้วยรถไฟจากสถานทีกรุงเทพฯ (หัวลำโพง)ประมาณ 4 ทุ่ม มาถึงสถานีขุนตาลประมาณ 11:30 ของอีกวัน หรือใช้เวลาเดินทางราวๆ 13 ชั่วโมง ถือว่าไม่นานเลยสำหรับรถไฟไทย ระหว่างทางก็คุยกับผู้คนที่ใช้ชีวิตบนรถไฟ พบว่าอาชีพขายของบนรถไฟน่าสนใจมาก

ที่เห็นใน VDO ด้านบนคือเหล่าผู้แสดงบุญจำนวน 10 ตู้รถไฟยาวเหยียดกว่าจะต่อตู้อะไรเสร็จก็นานพอสมควร
ระหว่างนั้นเราแวะซื้อน้ำอัดลม แวะกินข้าวเที่ยง และซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ไปทำกินข้างบน
ระหว่างนั้นก็เจอพี่ ๆ นักปั่นมาแวะพักและบ่นเรื่องความชันอยู่ตรงร้านข้าวนั่นเอง สอบถามได้ความว่าเป็น Audex 1000 อุทัย-ขุนตาล ในบรรยากาศร้อนแบบนี้ ถือว่าโหดเหี้ยมพอตัว

ส่วนเรื่องเสบียงนี่เราไม่พลาดอยู่แล้ว รอบนี้ขน หม้อ กระทะ เตาแก๊ซ และอาหารมาเหลือเฟือ กะว่าอยู่ได้ 2 – 3 วันสบาย ๆ และเพียงพอจะแบ่งให้ หมานำทางแห่งดอยขุนตาลทั้งหลายด้วย

ตอนแรกกะว่าจะลงจากขุนตาลไปนอนที่สะพานทาชมภู(ที่เป็นสีขาว) แต่โรงแรมที่อยู่ใกล้ๆ ยังไม่เปิดเค้าบอกว่าเปิดแค่หน้าหนาว เลยเป็นอันว่าจบกัน
แวะดูตารางการเดินรถ ที่ไม่ค่อยตรงหน่อย แต่อย่างน้อยก็พอเป็น reference ได้

ทางเดินก็ไม่ยุ่งยากอะไรมีป้ายบอกทาง แบบที่ต้องใช้เซ้นต์นิดหน่อย คือมีบอก ๆ หาย ๆ ทางแยกบางครั้งก็ไม่มีป้าย แต่นั่นแหละ มันก็ไม่ได้พาหลงไปไหนไกลหรอก อย่างมากก็พอขึ้นวัดนิดหน่อย
โดยรวมเส้นทางเดินมาการลาดปูนไว้ค่อนข้างดี และมีป้ายบอกเป็นระยะ ๆ ไม่หลงแน่นอน

ระยะทางเพียง 1.3 กิโลจากสถานีรถไฟไปถึงที่ทำการ แต่ชันระดับนึง พอให้เหงื่อออกได้อยู่

หลุดทางเทรลมา ก็จะเจอกับถนนดำ แล้วก็ชันมากมาย เดินดุ่มๆ ตามถนนดำไปเรื่อยๆก็จะเจอกับป้ายอุทยาน

ถึงแล้ววว แต่ไม่จบ…..

ที่นอนที่เค้านิยมนอนกันใน อุทยานขุนตาลก็จะมี
1. ลานนับดาว อันนี้คืออยู่ที่ทำการเลย เป็นลานโล่ง ๆ ร้อน ๆ แต่ข้อดีคือมีห้องน้ำใกล้ มีร้านอาหารสวัสดิการ ฝากท้องได้สบาย อาหารรสชาติใช้ได้ราคาไม่แพง
2. ย.1 หรือจุดยุทธศาสตร์ 1 ที่ใช้ชื่อว่าจุดยุทธศาสตร์ เพราะสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ดอยขุนตาลเคยเป็นพื้นที่ในแนวรบมาก่อน เลยทำให้มีชื่อ จุดยุทธศาสตร์ ต่างๆ ขึ้นมาง่ายๆ คือมันเป็นที่ทำการสมัยโน้นนน นั่นแหละ ย.1 เป็นที่ที่ไม่ค่อยมีคนมากางเต้นท์กันเหตุเพราะมันอยู่กลาง ๆ คือจะขึ้นยอดก็ไกล จะลงข้างล่างก็ไม่มีอะไร ที่กางก็ค่อนข้างน้อย
3. ย.2 เป็นจุดที่คนนิยมมานอนมากที่สุดเพราะมีที่กางเต้นท์ค่อนข้างเยอะ เป็นลานสนมีห้องน้ำ และจะขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าก็ไม่ไกลมากพอเดินได้อยู่
4. ย.3 เป็นจุดที่มีบ้านพักที่อยู่ในความดูแลของมหาวิทยาลัย

เราวางแผนนอนกันที่ ย.2 เพราะเท่าที่หาข้อมูลมาคือมันกว้าง แต่มีห้องน้ำเยอะ และจาก ย.2 ขึ้นไปถึงยอด (ย.4) มีระยะทางประมาณ 4.5 กิโลเมตรกำลังชิว ๆ คิดว่าเดินมืดหน่อยก็น่าจะขึ้นไปถึงตอนเช้า ๆ เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้นทัน

ระหว่างทางก็เจอกับจุดยอดนิยมที่คนชอบมาถ่ายรูปกันเป็นเส้นแบ่ง 2 จังหวัด ลำปาง-ลำพูน

จากที่ทำการไปยัง ย.1 เส้นทางจะแอบงง ๆ นิดนึงเนื่องจากพอเดินตามถนนดำไปเรื่อย ๆ เริ่มไม่แน่ใจว่าเอ๊ะ นี่เรามาถูกทาง จริง ๆ ใช่ไหม หรือเราเดินเลยเส้นทางไหนไปแล้ว บางจุดสามารถลัดจากถนนดำขึ้นทางเทรลได้นิดหน่อย ก็จงลัดเถอะ เพราะถนนจะพาคดเคี้ยวไปเรื่อย ๆ แต่สุดท้ายจะไปเจอจุดเช็คอินที่ต้องลงทะเบียนก่อนขึ้น ย.1

เดินทางชันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ก็จะเจอกับที่พักรับรองของการรถไฟ เป็นบ้านทรงไทยประยุกต์ สวยงาม แต่ปิดเอาไว้

ประมาณ 2.5 กิโลเมตรจากที่ทำการ เราก็มาถึง ย.2 ซึ่งจะมีลานสนอยู่ ลานสนมีคนอยู่พอสมควร เราจึงเลือกนอนลงมาข้างล่างนิดหน่อย ใกล้ ๆ จุดชมวิว

อากาศค่อนข้างเย็นสบาย แม้ว่าเราจะมาในเดือนกรกฏาคมแล้ว

ระหว่างตั้งแคมป์เราก็เห็นรถมอตอไซค์ขับผ่านไปหลายคัน เหมือนมันมีปลายทางอะไรที่มอเตอร์ไซค์สามารถไปได้ แต่ละคันจะขนของใส่ท้ายรถไปด้วย หลังจากนั้นไม่นานก็มีกลุ่มชาวต่างชาติเดินตามมาตัวเปล่า
ซึ่งตรงกันข้ามกับผมที่แบกของมาเต็มเหนี่ยว คนเหล่านี้เอาแค่ขวดน้ำมาคนละขวดเท่านั้น
ผมจึงสอบถามไปคร่าว ๆ ปรากฏว่าพวกเขาจะไปนอนที่ ย.3 ซึ่งเอามอเตอร์ไซค์ขนของไปได้ …..

คืนนั้นเราทำอาหารเข้านอนง่าย ๆ เพราะอยู่ข้างนอกไม่ไหวยุงเยอะ!!!

ตัดภาพมาตอนเช้า เราจ้ำอ้าว ๆ ขึ้นยอดเขาไป ปรากฏว่ามันไกลกว่าที่คิดต้องเร่งฝีเท้าพอสมควรจึงขึ้นไปทันพระอาทิตย์ขึ้นได้ แต่ก็ไม่ถึงกับวิ่ง ระหว่างที่เดินจ้ำ ๆ ในความมืดเราก็ได้ยินเสียงฝีเท้า แซ่ก ๆ ตามหลังมาเป็นระยะ แว่บเดียวก็รู้สึกได้กับสัมผัสอะไรบางอย่างที่ขาแทรกเราไป

ลืมเล่าเรื่องสำคัญไป !!

ไฮไลท์ของที่นี่คือเจ้าถิ่นนี่แหละ ที่นี่มีสุนัขนำทางอยู่ 2 ตัว ดำกับแดง
เย็นวันนั้นเจ้าดำไปให้บริการเต้นท์ใกล้ ๆ อยู่ เจ้าแดงเลยทำหน้าที่บริการเต้นท์เราแทน
คือแบ่งเลยว่างั้น ซึ่งพอเราเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ เจ้าแดงก็พยายามวิ่งพรวด ๆ เพื่อแซงเราไปนำทางให้
เหมือนกับจะบอกว่า “นี่ ๆ ฉันเป็นไกด์นะ ให้ฉันทำหน้าที่เถอะ!”

ขึ้นไปแอคท่าให้เราถ่ายรูปอยู่ตรงจุดชมวิวเรียบร้อย

ณ ย.4 ไม่มีวิวอะไรอลังการ แต่ที่นี่เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการสงคราม ที่ใช้ตรวจสอบสภาพโดยรอบเพื่อทำแผนที่ทหาร

มองไปไกล ๆ เห็นตัวเมืองลำปางได้ ลิบ ๆ

ขากลับแวะดู ย.3 ปรากฏว่ามีบ้านเป็นหลังใหญ่ ๆ มีระเบียงวิวสวยงาม และมีห้องครัว ที่นี่เป็นเขตการดูแลของ มหาวิทยาลัยพายับ หากจะเข้าพักต้องติดต่อมหาลัยก่อน ซึ่งเข้าใจว่ามีความเกี่ยวข้องกับคริสต์จักรและคณะมิชชันนารี

หลังจากกลับมาและกำลังจะเก็บแคมป์ ก็มีพี่ที่ดูเหมือนเจ้าหน้าที่ (เห็นใส่กางเกงลายพลาง) เดินมาอยู่ใกล้ ๆ เลยชวนคุย

ปรากฏว่านี่กลายเป็น highligh ของทริปไปซะงั้น

พี่โอ๋ เป็นคนที่อยู่ที่นี่ (คนที่ใส่กางเกงลายพรางนั่นแหละ)

ใช่อยู่ที่นี่คือ ที่นี่จริง ๆ แกอยู่ที่ ย.2 นี่แหละ! เนื่องจาก ย.2 เป็นบ้านพักของ หม่อมราชวงศ์คึกฤิทธิ์ปราโมทย์ ซึ่งจริง ๆจะว่าไป แถบนี้คือที่ส่วนบุคคลของ หม่อมราชวงศ์คึกฤิทธิ์ นั่นแหละ แกซื้อไว้สมัยก่อนที่จะประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติ เพื่อเป็นที่พักตากอากาศและที่ทำงานของแก
ซึ่ง พี่โอ๋ เป็นลูกของแม่บ้านที่ดูแลบ้านพักแห่งนี้สมัยที่หม่อมฯ อยู่ ….

หลังจากนั้นคือเรื่องเล่า….. สมัยที่พี่โอ๋ ยังเป็นเด็ก มีทั้งเรื่องการเดินทางที่สมัยก่อน ที่อาศัยรถไฟเป็นหลัก เพราะไม่มีถนนมาถึงสถานีรถไฟขุนตาล, ตอนขึ้นมาหม่อมใช้วิธีการให้คนหาบเสรี่ยงแบกขึ้นมา, เรื่อง tip คนงานหลักหลายร้อย (ซึ่งมากในสมุยนั้น), เรื่องให้เงินคนงานไปเที่ยว ออกเช็คให้ไปแบกธนาคารที่แกเป็นเจ้าของ ซึ่งตอนนั้นคือ ธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ เรื่องต้นลิ้นจี่ ที่พี่แกเล่าว่าหม่อมเอาเมล็ดใส่ติดกระเป๋ามาจากจีนตอนไปประชุม

หน้าตาต้นลิ้นจี่ที่ พี่โอ๋ แกเคลมว่าเป็นต้นแรกในประเทศไทย มันใหญ่จนต้องใช้เลนส์ wide ถ่าย

และที่เด็ดไปกว่านั้น พี่โอ๋นำทางพวกเราเข้าไปยังบ้านของ หม่อมราชวงศ์คึกฤิทธิ์

ไปเจอของใช้เก่า ๆ บ้านรับรองเก่าที่เป็นสไตล์ยุโรปมาก ๆ (มีเตาผิงและปล่องควัน) และอื่น ๆ มากมาย

(จริงๆ ตั้งใจอยากจะเล่าทั้งหมด แต่พอดองนานก็เริ่มขี้เกียจแล้ว ดูภาพเอาละกันนะ)

ตอนนั้นถ่ายรูปมาค่อนข้างน้อย เพราะมัวโฟกัสกับเรื่องเล่าของพี่โอ๋อยู่ เป็นเรื่องเล่าที่พี่โอ๋เล่าอย่างจริงจัง เล่าแบบมีความสุขเหมือนกลับไปเป็นเด็กในอดีต

จะว่าไปนี่คือช่วงที่ประทับใจที่สุดในทริปก็ว่าได้ ขุนตาลจะไม่มีความทรงจำที่มีสีสันเลยหากขาดเรื่องเล่าเหล่านี้ไป

ขากลับหลังจากคุยกับพี่โอ๋เราเลยเลือกกลับทางใหม่ ไม่กลับทางเดิม คือเลือกเดินในป่าผ่านทางน้ำตกตาดเหมยแทน ซึ่งก็นั่นแหละ น้ำตกตาดเหมยแห้งเหือดจนไม่เหมือนน้ำตก เส้นทางค่อนข้างยากกว่าเพราะต้องลงทางชัน ขึ้นเขา และระยะทางไกลขึ้นนิดหน่อย แต่ก็มั่ว ๆ เดินกลับมาจนถึง อช. ได้

น้ำตกตาดเหมยมีแค่นี้จริง ๆ

ตอนแรกตั้งใจว่ามานอนที่ลานนับดาว แต่….

มันร้อน !! ร้อนมาก ร้อนสุด ๆ

เลยเปลี่ยนใจนอนบ้านพัก อช. ที่มีมากมายก่ายกองแทน ด้วยความที่ไปวันธรรมดา บ้านเลยว่างมากมาย เป็นอันเหมือนจะจบทริปขุนตาล เหลือแค่นั่งรถไฟกลับ

ขากลับได้นั่งตู้แอร์ ชั้น 1 กลับนอนราบ เป็นส่วนตัว แอร์เย็น แต่เก่า และแพงกว่่านั่งเครื่อง 50%

สรุป: เป็นหนึ่งใน bucket list ที่จบไปอีกอย่าง ได้เจอคนที่ไม่คิดว่าจะเจอพูดคุยกับคนที่ไม่คิดว่าจะได้คุย มีเรื่องราวผ่านบุคคลที่คิดไม่ถึงมากมาย แม้ไม่ได้ผจญภัยแบบที่คุ้นเคย แต่มันเป็นสีสันที่ดีอย่างบอกไม่ถูกเหมือนกัน

ตอนนี้เคยอัด podcast ไปแล้วด้วยฟัง version เสียงได้ที่

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s