“อีก 10 ปีข้างหน้า ชีวิตคุณจะเป็นยังไง”
10 ปีเป็นระยะเวลาที่ยาวนานพอจะเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่าง เป็นตัวเลขที่เรานึกไม่ออกว่า 10 ปีข้างหน้าตัวเราจะมีชีวิตยังไง สังคมของเราจะมีหน้าตายังไง เป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินเอื้อม
เป็นระยะเวลาที่เอาไว้วางแผนชีวิตระยะไกล และข้าพเจ้าเองก็โดนถามคำถามนี้เมื่อ 10 ปีที่แล้วระหว่างการสัมภาษณ์งานที่หนึ่ง… จะว่าไปมันควรเป็นคำถามที่ไม่จริงจัง แค่เอาไว้ดูทัศนะคติและแนวทางในการรับคนเข้าทำงาน แต่ไม่ใช่กับข้าพเจ้า!
เย็นวันนั้นข้าพเจ้าลงมือเอากระดาษมานั่งขีดเขียนตามประสาคนช่างฝัน… และเริ่มลงมือเขียนถึงอนาคตเมื่อ 10 ปีข้างหน้า และกลายมาเป็นที่มาของ “จดหมายถึงตัวข้าพเจ้าในปี xxxx”
ผ่านมา 10 ปี บางความฝันก็ไปไกลกว่าที่คิดไว้ แต่ส่วนใหญ่นั้นก็ล้มเหลว
เหมือนกับปี 2562 ที่ผ่านมานี้ที่ส่วนใหญ่ชีวิตของข้าพเจ้าคือความล้มเหลว
เป็นความล้มเหลวที่เป็นความซวย เป็นเรื่องราวที่ไม่ควรเกิดขึ้น หลายๆครั้งตัวข้าพเจ้าก็ทำเต็มที่แล้วด้วย แต่ที่น่าชื่นใจคือข้าพเจ้าไม่ฟูมฟาย ไม่รู้สึกขัดใจมากมาย แค่รู้สึกว่า “มันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“มันก็เป็นแบบนี้แหละ” เลยกลายเป็นคำสุดฮิตแห่งปี การยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆจังๆกลายเป็นคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในปีนี้ จะว่าไปนี่มันคุณสมบัติของคนแก่ชัดๆ !
จะว่าไปชีวิตข้าพเจ้าก็เป็นการทดลองประเภทหนึ่งที่ข้าพเจ้าทดลอง เพิ่มนั่นนิด ลดโน้นหน่อยทุกๆปี ล้มๆลุกๆ ทำๆเลิกๆ พอย้อนกลับไปดูก็มีทั้งที่เกลียดและรักตัวเอง แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นอย่างแรกก็เถอะ ปีที่ผ่านมานี้ก็เช่นกัน
เมื่อต้นปีข้าพเจ้าทดลองกับวินัยในตัวเอง แล้วก็สำเร็จสวยงามดีนะ แต่ถ้าชีวิตมันมีบทเรียนของมัน ชีวิตก็กำลังจะสอนให้เรารู้ว่า ไม่มีอะไรเป็นไปอย่างใจคิดหรอก แล้วก็หวดเราแรงๆ เพื่อให้เราเรียนรู้จากมันจริงๆจังๆ จนเป็นที่มาก็ประโยคของปีข้างต้นนั่นแหละ
แถมพอถึงปลายปีพอมองย้อนกลับไปแล้วพบว่า เอ้าเป้าหมายอะไรนี่ไม่สำเร็จซักอย่างเลยเหรอ เออ… งั้นปล่อยให้มันฉิบหาย เอ้ย เป็นบทเรียนไปแล้วกัน แต่ก็เป็นปีที่ได้ลองก้าวเดินละน่า ผิดบ้างถูกบ้าง แต่ขอให้ทิศทางมันถูกต้องก็พอ
เอ้า… แล้วปีนี้เรียนรู้อะไรบ้าง ?
1 เงินสำคัญที่สุด!!
ฟังดูไม่อุ่นๆ คลาสสิคโรแมนติกเลยแต่มันเป็นความจริง เราอยู่ในโลกที่โครตจะทุนนิยมที่ถ้าคุณไม่มีเงิน ก็แทบไม่มีทางทำอะไรได้เลย ถ้าคุณไม่มีเงินไม่มีทางที่คุณจะช่วยใครได้โดยไม่เผาตัวเองไปด้วยเลย
ปีนี้เรียนรู้เรื่องการเงินเยอะมาก และเข้าใจความคุ้มค่าของการหา และการใช้เงิน เอาเข้าจริงข้าพเจ้าก็รู้สึกว่ามันไม่เท่นะที่จะอยู่ในวังวนนี้ แต่จะหลุดออกไปก็ต้องใช้เงินเหมือนกัน แต่ก็ต้องเข้าใจความหมายว่าเราหาเงินไปเพื่ออะไร? นี่เป็นคำตอบที่ข้าพเจ้าตอบตัวเองไม่ได้เมื่อ 5 ปีที่แล้ว และกลายเป็นประโยคที่ข้าพเจ้าบอกกับตัวเองเมื่อตอนนั้นว่า “เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น” ฉะนั้น
ตอบตัวเองให้ได้ว่าหาเงินไปทำไม? ถ้าไม่มีคำตอบ เงินอาจไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้นก็ได้
2 ความจริงของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน
เรื่องนี้ควรเป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าเข้าใจมาเป็นสิบปีแล้ว แต่เอาเข้าจริงข้าพเจ้าก็เข้าใจมันนั่นแหละแต่ไม่ยอมรับมันซึ่งเป็นความโง่เขลาแบบหนึ่ง และเราไม่มีทางที่จะอธิบายความจริงของเราให้คนอื่นรับรู้ได้ถ้าพื้นฐานความจริงที่ว่ามันไม่เหมือนกัน
เราไม่มีทางเปลี่ยนความคิดใครได้ ถ้าความติดนั่นจะเปลี่ยน เจ้าของความคิดนั้น ต้องเห็นเรื่องนั้นด้วยตัวเองเท่านั้น
“ถ้าเราเชื่อว่าความจริงมีเพียงหนึ่งเดียวปลายทางสุดท้ายที่เราได้อาจเป็นสงคราม”
แล้วปีนี้เป็นอย่างไรบ้างละ? ในสายตาของข้าพเจ้า