สองภาพข้างบนเป็นภาพถ่ายจาก page ของอีม napassaporn เพื่อนนักเดินป่าคนหนึ่งที่กำลังออกตามล่าความฝันของตัวเอง
ถ้าใครตามอีมอยู่ก็จะรู้ว่าขณะนี้ (17 มิถุนายน 2561) อีมกำลังเดินทางไปเพื่อจะไปยังจุดสูงสุดของทวีปอเมริกาเหนือคือยอด Denali และถ้าทำสำเร็จนี่จะเป็นยอดที่ 6 จาก 7 ยอดเขาที่สูงที่สุดใน 7 ทวีปทั่วโลก ความฝันที่จะไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของทั้ง 7 ทวีปไม่ได้ไกลเกินไปแล้ว
แต่แน่นอนว่าความฝันนั้นไม่ง่าย…
อย่างที่เห็นจากภาพข้างบนทีมนักปีนเขาต้องเจอกับสภาพอันเลวร้าย หิมะที่ท่วมเต้นท์ทำให้แต่ละคนต้องผลัดเปลี่ยนกันออกมาจัดการกับหิมะเพื่อไม่ให้มันท่วมเต้นท์ไปก่อน
ย้อนกลับไปปี 1995 แอริค วีเลนเมเยอร์ (Erik Weihenmayer) และนักปีนเขาอีกหลายสิบชีวิต ได้ขึ้นไปยืนอยู่ ณ ยอดเขา Denali จุดที่สูงที่สุดในทวีปอเมริกาเหนือเหมือนกันกับที่อีมกำลังจะไปนี้
มันคงฟังเป็นเรื่องธรรมดาเว้นเสียแต่ว่า Erik นั้นเป็น คนตาบอด !!

หลังจากนั้น Erik ก็เดินตามความฝันของตัวเอง ด้วยการฝึกฝนอย่างหนัก
เขาฝึกแบกของหนัก 32 กิโลกรัมขึ้นตึกสูง 50 ชั้นเป็นประจำหลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆไล่เก็บสิ่งที่อยู่ในความฝันของเขา ภูเขาลูกแล้วลูกเล่าที่เข้าขึ้นไปยืนอยู่และแล้ว
วันที่ 25 พฤษภาคม 2001 Erik และทีมก็ขึ้นสู่จุดที่สูงที่สุดในโลกสำเร็จ กลายเป็นคนตาบอดคนแรกที่ขึ้นสู่ยอดเขาเอเวอร์เรส

และในปี 2008 เขาก็สามารถขึ้นไปยืนอยู่ที่จุดสูงสุดแห่ง 7 ทวีป (7 Summits) ได้สำเร็จซึ่งแม้แต่คนตาดีร่างกายแข็งแรงก็อาจต้องเอาชีวิตไปทิ้งท่ามกลางฝันนี้
แต่เขาทำได้และกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอะไรก็เป็นไปได้ ….
เชื่อว่าคนสมัยนี้ หลายๆคนมีฝัน ….
…. ฝันว่าวันนึงจะไม่ต้องเป็นมนุษย์เงินเดือน
ไม่ต้องเป็นลูกน้องใคร เป็นเจ้าของกิจการ
หนึ่งในความฝันของคนกรุงคือ ไปทำสวน ทำไร่ ทำฟาร์ม
มีเพื่อนๆหลายคนของผมมีความฝันแบบนั้น
…. เคยได้ยินพี่โหน่ง วงศ์ทนง เคยเขียนไว้ว่า
“วิธีจัดการกับความฝัน คือทำให้มันเป็นจริง” ….. ฟังดูเท่ดีใช่ไหม ?
แต่จริงๆแล้ว “วิธีจัดการกับความฝัน คือศึกษาความเป็นจริงก่อน!”
เพราะทุกๆความฝัน มีราคาที่เราต้องจ่าย !!
จะจ่ายมากจ่ายน้อยก็ขึ้นอยู่กับต้นทุนที่มี และราคาที่เราประเมิน
ร้อยทั้งร้อยมักประเมินความฝันด้วยราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง
บางคนเลือกจ่ายราคาฝัน ก่อนจะเข้าใจมันให้ดี
หลายๆคนต้องถอย หลายๆคน ทนไม่ไหว
เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง
สำคัญที่ว่าอัตราเสี่ยงนั้นคู่ควรให้เราเสี่ยงหรือเปล่า
หลายคนหยุดความฝันของตัวเองไว้แล้วคิดว่าจะเก็บเอาไว้ทำเมื่อมีเงินแล้ว โดยลืมไปว่า ณ วันนั้นของชีวิตที่เรามีเงินมากมาย(ถ้ามันมีจริงๆนะ) เราอาจต้องมีภาระอื่นๆที่ต้องแบก อาจจะไม่มีกำลังพอที่จะทำสิ่งที่อยากทำ หรืออาจจะทำได้แค่นั่งอยู่บนรถเข็นแล้วมองถึงความฝันที่ไม่กล้าจะควักเงินจากกระเป๋าเพื่อจ่ายออกไปไขว่คว้ามัน
การลงทุนที่ดีที่สุดจึงเป็นการลงทุนกับปัจจุบัน เพราะ “การไปไม่ถึงฝันน่าจะดีกว่าการยังไม่ได้ลองทำ”
เรามาอยู่บนโลกนี้เพียงชั่วคราว และจากไปโดยที่เราไม่อาจรู้ได้ว่าเมื่อไหร่
ถ้าหากเราพบว่าเราต้องการอะไรจริงๆ มันก็ควรเป็นสิ่งที่เราออกไปไขว่คว้าไม่ใช่หรือ?
อีมทุ่มเทเวลามากมายไปกับการฝึกซ้อมตัวเอง เช่นเดียวกับอีริค ทั้งคู่สูญเสียโอกาสในการทำงานที่จะไปเจริญก้าวหน้าในเส้นทางอื่น สูญเสียโอกาสที่จะไปหาเงินมาทำให้เพิ่มพูน
เพียงเพื่อแค่ให้ได้ยืนอยู่ ณ จุดสูงสุดของโลก ….
แต่ถ้าเราหลงไหลในความฝันนั้นมากพอ
เราอาจจะยอมจ่ายด้วยทุกอย่างที่มีก็เป็นได้