ห่างหายจากการเขียน Blog ไป 5 วันเนื่องจากไปเทรคมา
(ไม่อยากใช้คำว่าปีนเขาเพราะเอาจริงๆเราก็ไม่ได้ “ปีน” ซักเท่าไหร่ เป็นการเดินไปเรื่อยๆเสียมากกว่า)
ทุกครั้งที่ไปเทรคจะมีคนถามเสมอๆว่าไปทำไม มีอะไรดี หรือทำไมต้องเสียเงินไปทำให้ตัวเองเจ็บปวดด้วย ซึ่งเอาจริงๆมันก็เป็นคำถามที่น่าสนใจ ในระยะแรกๆอาจจะรู้สึกหมั่นไส้คนถามอยู่บ้าง
ว่าจะ “ถามเพื่ออะไรกัน” แต่เอาเข้าจริงๆเขาคงอยากรู้จริงๆก็ได้
แทนที่จะตอบคำถามนี้ผมขอเล่าเรื่องแล้วกัน….
29 พฤษภาคม 1953 หรือย้อนกลับไป 65 ปีที่แล้วพอดิบพอดี
เอดมันด์ ฮิลลารี และ เทียนซิง นอร์เก ได้ขึ้นไปยืนบนพื้นดินที่สูงที่สุดในโลก ที่ที่ว่ากันว่ามนุษย์ไม่น่าจะสามารถขึ้นไปถึงได้ ด้วยปริมาณออกซิเจนที่มีเพียง 33% ของพื้นโลก….

หลังจากนั้นก็มีผู้คนมากหน้าหลายตาพยายามขึ้นไปสู่เอเวอเรสต์อีก ซึ่งมีทั้งคนที่ทำสำเร็จไปถึงฝั่งฝันและคนที่ล้มตายอยู่ท่ามกลางความฝันของตนเช่นกัน
มนุษย์สองคนนี้ก็พิสูจน์ให้โลกนี้ได้เห็นแล้วว่า ไม่มีอะไรที่จะยากเกินความพยายามของมนุษย์ได้
ผู้คนต่างยกย่องว่าทั้งคู่เป็นผู้พิชิตภูเขาที่สูงที่สุดในโลก “Men who conquer Everest”
แต่ทั้งสองกลับกล่าวว่า
“ไม่ใช่ภูเขาที่เราพิชิตได้ แต่เป็นเพียงใจของเราต่างหาก”
“It is not the mountain we conquer but ourselves.”
และเมื่อถูกถามถึงเหตุผลของการเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายบนภูเขาสูงเยี่ยงนั้นฮิลลารี่เพียงตอบกลับมาด้วยข้อความสั้นๆว่า “Because it’s there” (เพราะมันอยู่ที่นั่น)
นี่คือคำกล่าวของบุคลที่กลายมาเป็นตำนานของการทำสิ่งที่เหมือนเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
แน่นอนว่าการขึ้นสู่ยอดเขาสูงนั้นไม่ได้เป็นกิจกรรมที่ทำเพื่อสร้างประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ชาติโดยตรง
ไม่ได้มีความหมายถึงการพิชิตดังว่าจะทำยอดเขานั้นให้ราบเป็นหน้ากลอง
ยอดเขาที่พวกเขาก้าวเหยียบอยู่นั้น ไม่ได้เตี้ยลงแม้เพียงนิด
และพวกเขาก็ไม่ได้ข้อมูลทางสภาพธรณีมากไปกว่าเครื่องบินที่บินสำรวจ
เป็นการทำอะไรโง่ๆที่ต้องเสี่ยงเอาร่างกาย ชีวิต หรือทรัพยากรไปกับการทำสิ่งที่ผู้คนไม่ค่อยเห็นค่าอะไร
แต่เป็นการทำอะไรโง่ๆ ที่เป็นเครื่องหมายของความร่วมมือร่วมใจ ความเสียสละ และการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เพื่อเป้าหมายที่ดูจะเป็นไปไม่ได้
แต่การกระทำโง่ๆนั้นเป็นเครื่องหมายที่ทำให้รู้ว่า
….ไม่ว่าเป้าหมายจะเป็นไปไม่ได้แค่ไหนมนุษย์ยังคงพยายามไปถึงได้เสมอ
เป็นเครื่องหมายที่ทำให้รู้ว่า
….การทำงานเป็นทีมทำให้เราไปถึงเป้าหมายอะไรก็ได้ถึงแม้จะมีเพียงหนึ่งคนไปถึงเป้าหมายแต่เค้าได้นำพาสปิริตของทีมไปด้วย
และเป็นเครื่องมือจุดประกายความฝันของคนให้ลุกออกไปทำอะไรที่เหมือนจะเป็นไปไม่ได้เช่นกัน
เป้าหมายอาจจะไม่ใช่ยอดเขาที่สูง อาจเป็นทะเลลึกล้ำ หรือความรู้ที่ซับซ้อน
“Because it’s there.” อาจเป็นเหตุผลที่ดูไม่เข้าท่า และเหมาะกับคนโง่ๆเหล่านั้น
คนโง่ๆ ที่คอยจุดประกายความหวังให้คนอื่นๆ
คนโง่ๆ ที่ทำให้รู้ว่าไม่ใช่แค่ความฉลาดที่ทำให้เราสำเร็จ แต่ต้องมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าและไม่ล้มเลิกระหว่างทางด้วย
แด่คนโง่ทั้งหลาย
29 พฤษภาคม 2561