เมื่อวานได้มีโอกาศย้อนดูซีรีย์ญี่ปุ่นที่เคยดูนานมาแล้วเรื่อง “Change”
ดูแบบผ่านๆเร็วๆ แต่ไปสะดุดตอนที่ 7 ประมาณนาทีที่ 25 เป็นต้นไป….
แล้วก็สงสัยว่าทำไมตอนนั้นไม่สะดุดกับประโยคเหล่านี้…
หรือเพราะตอนนั้นสถานการณ์มันยังไม่ชัดเจนเท่าตอนนี้
ในตอนที่ 7 ทูตจากสหรัฐอเมริกามาทำการเจรจาตกลงเรื่องกรอบการค้ากับนายกญี่ปุ่น ซึ่งก็คือพระเอกในเรื่อง แต่มีข้อตกลงบางข้อที่ญี่ปุ่นไม่ยอมรับแต่ทางอเมริกาพยายามจะให้ยอมรับให้ได้ถึงขั้นขู่ว่าอาจจะทำให้ประเทศบาดหมางกัน
พระเอกซึ่งเคยเป็นครูสอนในโรงเรียนประถมจึงเล่าให้ฟังว่า ….
สมัยที่สอนอยู่โรงเรียนประถมเด็กๆมักจะทะเลาะกัน กลั่นแกล้งกัน
เค้าจะสอนเด็กๆว่าให้ลองฟังคนอื่นๆดูบ้าง แต่ไม่ใช่ฟังเพื่อให้เข้าใจกัน
เพราะคนเราแตกต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกันเลย ดังนั้นการฟัง ….
เพียงเพื่อให้เรารู้ว่าจริงๆแล้วเรานั้นต่างกัน ไม่มีใครเหมือนกัน
จุดเริ่มต้นของการทะเลาะเบาะแว้งมักมาจากการที่พยายามคิดว่าคนอื่นต้องเหมือนเรา
พอเห็นคนอื่นไม่เหมือนเราก็กีดกัน ก่นด่า กลั่นแกล้ง
สุดท้ายก็ทะเลาะกัน
ฟังแล้วมันโดนใจดำกับสภาพสังคมและบ้านเมืองตอนนี้เลย
หลายๆคนรับไม่ได้ที่คนอื่นคิดไม่เหมือนเรา
ถึงขนาดช่วงหลังๆได้ยินเรื่องการ unfriend ในกรณีความเห็นไม่ตรงกัน
หลายๆคนพยายามบังคับ ให้คนอื่นเคารพคนที่เราเคารพ
นับถือสิ่งที่เรานับถือ ห้ามลบหลู่
นั้นอาจเป็นเพราะกรอบของสังคมและประเพณีที่เราพยายามทำให้ชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แต่นั้นทำให้เราได้นิสัยการไม่ยอมรับความแตกต่างมาด้วย…..
ผมเคยเขียนไว้นานมาแล้วที่ไหนซักแห่งจำไม่ได้
ว่า…. เพราะแตกต่างโลกจึงงดงาม
ลองจินตนาการถึงโลกที่มีพืชพันธ์ชนิดเดียว สัตว์ชนิดเดียว
ทุกคน ทุกสิ่งเหมือนปั้มมาจากโรงงานเดียวกัน ขนาดโรงงานยังมีดีแฟร็ก
โน็ตดนตรีที่แตกต่างกันจึงไพเราะ
ฉันใดก็ฉันนั้น
โลกจะสงบสุขไม่ใช่เพราะทุกคนเป็นคนดีเหมือนกัน
เพราะนั้นเป็นไปไม่ได้ ขนาดกรอบการเป็นคนดีแต่ละคนยังต่างกันเลย
แต่โลกจะสงบสุขได้ไม่ใช่เพราะทุกคนเป็นคนดี
แต่เพราะทุกคนเข้าใจว่าไม่มีใครเหมือนกัน
เข้าใจถึงสิทธิของตัวเอง ไม่ไปก้าวก่ายท้าทายสิทธิของคนอื่น
นั้นแหละ เพราะแตกต่างจึงงดงาม……
1 ความเห็น