เรื่องราวมันเริ่มต้นจากการมีแพลนสู่การไม่มีแพลน
คือจริงๆ ปีนี้ตั้งใจว่า ทริปปีใหม่จะเป็นการไปเดินแถว ๆ ลังกาน้อย ลังกาหลวง ดอยมด แถวนั้นกับป๋าคมรัฐ
แต่ก่อนหน้านั้นราว ๆ 1 – 2 เดือนก็มีเหตุที่ทริปต้องล่ม
แต่ช่วงนั้นชีวิตก็วุ่นวายมากคือมีงานที่ต้องปิด หลายงาน
และมีเรื่องเตรียมตัวไปวิ่งอินทนนท์มาเกี่ยวด้วยเลยปล่อยเบลอไป
มารู้ตัวอีกทีคือช่วง 2 อาทิตย์ก่อนปีใหม่แล้ว
จะต้องตัดสินใจว่าจะแกร่ว ๆ อยู่บ้านเตรียมตัวรับปีใหม่
หรือจะออกไปเดินป่าดี
พอดีเช้าวันนั้นอากาศหนาวกลับมาประทะกรุงเทพพอดี
เลยตัดสินใจว่าออกไปเจออากาศหนาวจริง ๆ บนดอยดีกว่า
หลังจากพยายามหาทริปอยู่ไม่นาน ก็มี 2 candidate ปรากฏขึ้นมาคือ ขุนน้ำเงา 5 วัน กับ หวาหวาโจ ดอยปุย 3 วัน ในใจอยากไป ขุนน้ำเงาแต่ระหว่างที่เลือกก็พบว่ามีลูกค้า request ให้ต้องเข้าไปทำงานวันที่ 29 ธันวาคม พอดี ทำให้ไม่สามารถไปทริป 5 วันได้
หวยล็อกเลยออกที่หวาหวาโจ ดอยปุย
ท้าวความก่อนว่าทั้งชื่อ หวาหวาโจ และดอยปุยก็เป็นชื่อที่คุ้นเคยอยู่แล้ว อย่างดอยปุยผมเองก็เคยไป count down ปีใหม่เมื่อ 4 – 5 ปีที่แล้ว
ส่วนหวาหวาโจ ก่อนหน้าไม่กี่สัปดาห์ผมก็เห็นผ่าน feed facebook ว่ามีคนไปแล้วบอกว่าสวย แต่ก็ไม่ได้หาต่อว่าเป็นยังไงเพราะอะไร
ความทรมานแรกของทริปแถว ๆ แม่ฮ่องสอนที่ต้องยอมรับคือ มันไกลมันนั่งรถไกลมากกกกกก วิธีที่ดูจะเร็วสุดคือการบินไปลงเชียงใหม่แล้วเช่ารถขับไป แต่พอเป็นทริปที่จัดเป็นกรุ๊ปแบบนี้วิธีที่ถูกที่สุดคือนั่งรถตู้เหมาไป
แต่นั่นต้องแลกมากับการนั่งยาว ๆ ๆ ๆ 17 ชั่วโมง
จริง ๆ มันควรเร็วกว่านั้นแต่พอดีเป็นช่วงหยุดยาวปีใหม่
ทำให้รถต่างก็มุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด เลยทำให้รถตู้ทำความเร็วไม่ได้มาก
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามการนั่งรถตู้แคบ ๆ ในทางคดเคี้ยววนเวียนไปมายังไงก็ไม่น่าจะสบายอยู่ดี เส้นทางนี้ถ้าคนเมารถรับรองว่าเตรียมเมาได้เลยแน่นอน
เราออกเดินทางจากกรุงเทพประมาณ 2 ทุ่มตรงเป๊ะ
เป้าหมายแรกคือแม่สะเรียง เพื่อกินข้าวเตรียมตัวก่อนเดินทางไปยังตัวเมืองแม่ฮ่องสอนต่อ
ปกติที่มาจะใช้เส้นทางผ่านแม่สอด แต่รอบนี้คนขับใช้เส้นทางผ่าน ลำพูน ในแทนซึ่งข้อดีคือมันจะผ่านอุทยานแห่งชาติออบหลวง
ซึ่งถนนหมายเลข 108 ที่ใช้ผ่านอุทยานแห่งชาติออบหลวงนี้น่าจะเป็นหนึ่งในถนนที่ผมชอบมาก
เพราะทัศนียภาพของถนนเส้นนี้
คือถ้าขับไปด้านขวามือจะเป็นแม่น้ำแม่แจ่ม ที่แทรกตัวอยู่ในป่ากึ่งโล่งกึ่งรก ซึ่งน่าตั้งแคมป์มาก ๆ ยาวตลอดเส้น
แม้ว่าทางจะคตเคี้ยวมาก แต่ก็สวยงามมาก
ราว ๆ 8 – 9 โมง เราก็มาถึงแม่สะเรียง ซึ่งเป็นจุดที่เราพักทานข้าวเช้าและจัดการตัวเองยามเช้า เพื่อจะผ่านอีกหลายร้อยโค้ง และใช้เวลาบนรถตู้อีก 3 ชั่วโมง เพื่อไปถึงตัวเมืองแม่ฮ่องสอน และบนกระบะอีก ราว ๆ 1 ชั่วโมง
จุดเริ่มเดินของเราอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านห้วยฮี้ แม่ฮ่องสอน

การเดินง่ายดายมาก มันคือชันไปเรื่อย ๆ ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร แต่ใช้เวลาราว ๆ 1 ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึง
รอบนี้เราเลือกนอนบนสันเขาวิว เกือบ ๆ 360 องศา แต่เนื่องจากช่วงที่ไปอากาศยังเย็นอยู่เลยทำให้สามารถกางตรงนี้ได้สบาย ๆ


คืนแรกไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ แต่จะว่าไปเวลาเดินป่ามานาน ๆ
มันก็ไม่ค่อยมีอะไรตื่นเต้นเท่าไหร่ เราเห็นท้องฟ้าที่สวยงามเต็มไปด้วยดวงดาวหลายสิบคืนแล้ว
เราเห็นพระอาทิตย์ตกที่ฉาบท้องฟ้าเป็นสีแดง สีทอง ก็นับร้อย
แต่การได้นอนในป่าก็ยังเป็นอะไรที่ทำให้เรารู้สึกดีได้ตลอด
ไม่ว่าจะนอนบนสันเขาเช่นคืนนี้ หรือนอนในหุบป่าเหมือนที่เคยผ่านมา
เราเพียงซึมซาบอากาศหนาวเย็นแบบที่เครื่องปรับอากาศทำให้เราไม่ได้
เราซึมซับบรรยากาศของผู้คนที่ผ่อนคลาย พูดคุยเรื่องไร้สาระ กลางความมืดมิดของป่า
วันที่ 2
เมื่อคืนน้ำค้างแรงประมาณนึงพอทำให้เต้นท์เราเปียกโชก
เราปล่อยให้ลมและธรรมชาติจัดการน้ำค้างบนเต้นท์เท่าที่มันทำได้
ฟ้ายังคงไม่ค่อยเป็นใจไม่ได้เปิดให้เราสามารถเห็นพระอาทิตย์ได้ชัดนัก

เส้นทางของวันที่สองไกลกว่าวันแรกราว ๆ 3 กิโลเมตร
แต่เส้นทางลำบากกว่าเนื่องจากมีเส้นทางอนตรายที่จะต้องมุ่งสมาธิไปในเส้นทางเยอะ
มีช่วงที่ต้องเดินบนสันเขาที่มีทางเดินแค่แคบ ๆ
ช่วงทางที่ถล่มไปต้องปีนป่ายนิดหน่อย
และความชันขึ้นและลง ที่มากว่าเมื่อวานเกือบ ๆ เท่าตัว

จากที่ที่เรานอนเรามองเห็นยอดหงอนไก่อยู่ไกล ๆ ลักษณะอาจจะต้องใช้จินตนาการมากหน่อยก็จะเห็นว่ามันคล้าย ๆ หงอนไก่

จะว่าไปยอดหงอนไก่นี้มีความสูงเรียกว่าใกล้เคียงยอดดอยปุยมาก
คือดอยปุยได้ชื่อว่าเป็นหลังคาของแม่ฮ่องสอน คือเป็นภูเขาที่สูงที่สุดของแม่ฮ่องสอน
แต่ถ้าดูตามแผนที่จะพบว่าดอยหงอนไก่สูง 1626 ในขณะที่จุดสูงสุดของดอยปุยจะอยู่ที่ 1645

เส้นทางจากแคมป์ไปยังยิดหงอนไก่จะมีเส้นทางที่เดินเลาะสันเขาตลอด แต่อันตราย
กับทางที่เลาะข้างเขาแต่ปลอดภัยกว่า เราเลือกเดินทางที่ปลอดภัยกว่า
ถึงแม้จะบอกว่าปลอดภัยกว่าแต่ก็ไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น

เดินไม่ถึง 3 ชั่วโมงดีก็ถึงดอยปุย ที่เราจะนอนคืนนี้



คราวที่แล้วที่มาดอยปุยผมถ่ายเงาพีรามิดของดอยปุยได้ แต่รอบนี้ฟ้าไม่เป็นใจแบบนั้น


ถือเป็นการเปิดทริปแรกของปีแบบสบาย ๆ
ปีนี้คงเดินทางมากขึ้น เขียน blog มากขึ้น ทำ podcast มากขึ้น
หวังว่านะ