หนังสิ้นปีปกติมักเต็มไปด้วยบรรยากาศเฉลิมฉลอง หิมะ คริสมาส ความอบอุ่นหัวใจ
แต่ไม่ใช่กับ Don’t Look Up

เรื่องนี้เลือกมาออกตอนสิ้นปีที่วินาศสันตะโร ช่างเป็นบรรยากาศที่เหมาะแหม่งมาก
และไม่ว่าจะแตะไปตรงไหนของหนังก็คงเอามาเขียนได้เป็นเรื่อง ๆ
เราเองก็ไม่ได้เป็นคนดูหนังเก่งกาจอะไรแบบนั้น แต่ประเด็นที่ติดค้างในใจคือ
คนธรรมดามันน่าเบื่อเกินไป
มนุษย์เรามีธรรมชาติ 2 อย่างที่ขัดแย้งกันในตัวเองคือ ความสบายใจ(comfortable) และความน่าตื่นเต้น(Excite)
ความสบายใจมักเกิดจากการที่เรารู้สึกคุ้นเคย ปลอดภัย เข้าใจ
ในขณะที่ความตื่นเต้นคือการที่เราเผชิญกับสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ไม่คุ้นเคย ไม่เข้าใจ
และสองความรู้สึกนี้แทบจะเป็นขั่วตรงข้ามกันอย่างสิ้นเชิง
นานมาแล้วเคยมีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งเอ่ยถึงหนุ่ม ๆ ในสต็อกของเธอว่า
นาย A เป็นคนดีมากแต่ก็เหมือนแกงจืดคือกินสบายท้อง มีประโยชน์มีสารอาหารแต่กินนาน ๆ ก็เบื่อ
ส่วนนาย B เป็นเหมือนต้มยำรสเข้มข้น กินไปก็แสบท้องแสบตูด แต่มันก็แซ่บและเร้าใจกว่า
ช่างเป็นการเปรียบเปรยที่เห็นภาพสมบูรณ์จริง ๆ
เช่นเดียวกันตอนที่เราเลือกโปรโมทลูกน้องสักคน เลือกผู้นำ
คนส่วนใหญ่ไม่ได้เลือกจากที่เขาดูสบาย ๆ คาดเดาได้
แต่คนส่วนใหญ่มักเลือกจากความวาไรตี้มีสีสัน ความโดดเด่นออกจากกลุ่มมากกว่า
โลกจึงถูกปกครองด้วยคนโง่และคนบ้า
เพราะปกมันดูง่ายกว่า และสมองเราก็ขี้เกียจเกินกว่าจะพิจารณาให้เข้าใจ
แบรนด์เนมต่าง ๆ จึงกลายเป็นเครื่องมือหนึ่งที่เชิดชูเราเข้าสู่วงสังคม
การโปรโมทตัวเองแบบง่าย ๆ โง่ ๆ จึงเป็นเครื่องมือที่ทำให้เรากลายเป็นที่ยอมรับได้
เราโกหกแบบง่าย ๆ ด้วยการพูดซ้ำ ๆ จึงทำให้คนจำนวนมากเชื่อว่าเขาเป็นอย่างนั้นจริง
นั่นยิ่งทำให้สังคมถูกลวงหลอกด้วยคำลวงแบบง่าย ๆ
นั่นทำให้คำพูดที่สวยหรูแต่กลวงเปล่า น่าฟังกว่าคำพูดจริงที่ซับซ้อน
นั่นทำให้สังคมเลือกเชื่อคนที่ดูดี มากกว่าคนที่มีความรู้
นั่นทำให้สังคมเลือกฟังคำพูดที่ไพเราะมากกว่าคนจริงที่หยาบคาย
เมื่อโลกถูกขับเคลื่อนด้วยสีสันมากกว่าความจริง
และคนธรรมดามันน่าเบื่อเกินไป
โลกจึงถูกปกครองด้วยคนโง่และคนบ้า