ไม่ได้เขียน blog มานาน นานจน skill ในการเรียบเรียงขึ้นสนิมไปจนหมด
เคยลงมือเขียนก่อนหน้านี้แล้วแต่ก็ล้มเหลว พลังงานไม่พอ
พอดีช่วงนี้จู่ๆ ก็มีเหตุการณ์ประหลาด เลยทำให้นึกอยากเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา
หนึ่งในสิ่งต้องห้าม ที่ไม่ว่าตำราไหนๆ ก็เตือนเหมือน ๆ กันคือ….
“ห้ามให้เพื่อนยืมเงิน “
จำไม่ได้ว่าเคยปฏิเสธไปบ้างหรือเปล่า แต่ส่วนใหญ่เรามักจะให้ยืม
เคยให้ยืมมากสุดคือให้ บัตรกดเงินสด เพื่อนไปเลย เพื่อนรักก็จัดเต็มรูดเต็มวงเงิน ฮ่าๆๆ
แม้จะมีโดนบริษัทมาทวงบ้างเป็นครั้งคราวอย่างสม่ำเสมอ จนในที่สุดต้องทำการยกเลิกบัตรใบนั้นไป
แต่ก็จบ Happy หลังจากหลายปี เพื่อนก็ใช้หนี้บัตรใบนั้นจนหมด
ถ้าเชื่อเรื่องบุญ ก็ต้องบอกว่าผมมีบุญพอสมควรที่เพื่อนไม่ได้เบี้ยวหนี้ และยังคงเป็นเพื่อนกันจนถึงวันนี้….
ส่วนคนอื่นๆ ก็มีเราโอนไปให้ประปรายบ้าง จำนวนในสมัยนั้นก็ไม่ได้น้อย แต่ก็ไม่ได้หลักหมื่น หลักแสน
ส่วนใหญ่มาถึงวันนี้ก็จำไม่ได้ อาจจะมีทวงบ้างตามประสาคนขี้เหนียว แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นดราม่า
เรื่องน่าแปลกคือ…. เพื่อน ๆ ทั้งหลายที่เคยยืมไป ทั้งที่ผมจำได้ และจำไม่ได้
หลังจากผ่านไปหลายปี …. ก็ทยอยติดต่อมา หรือพอเจอหน้ากันก็มักจะถามว่า
“กูเคยยืมเงินมึงไปเท่าไหร่นะ”
เอาเข้าจริง บางคนผมก็จำไม่ได้แล้วว่ามันเคยยืมเงินไปด้วย (เหรอวะ)
บางคนจำได้ผมก็บอกจำนวนไป แต่หลัง ๆ มานี้ผมมักจะบอกว่าลืมไปแล้ว ช่างมันเถอะ
ถ้าจำไม่ได้แปลว่ามันไม่เคยมี
เรื่องน่าแปลกที่สอง ที่กลายมาเป็นประเด็นที่จุดประกายให้เขียนวันนี้คือ
ในรอบ สองอาทิตย์นี้ มีเพื่อนเก่าทักมาแบบนี้สองคน ! และ… ผมจำไม่ได้ทั้งคู่ ฮ่า ๆ
ไม่ได้รวยนะ แต่มันจำไม่ได้จริง ๆ
เลยมานั่งคิดว่า เอ… เราเคยติดเงินใครหรือเปล่าวะ ?
แล้วก็พบว่าส่วนใหญ่จะติดได้ไม่นาน เหตุผลเพราะว่า พอมันติดเงินแล้วมันรู้สึกคั่งค้างอยู่ในหัว
เหมือนยังทำอะไรไม่เสร็จ และมันรู้สึกว่าจะวางแผนทำอะไรต่อมันไม่ได้เลย มันติดไปหมด
เลยต้องรีบใช้ให้จบ ๆ ไป
และคิดว่าคนอื่นก็เป็นเหมือนกัน จริง ๆ ถ้ามองในมุมของคนที่ติดเงินคนอื่น
เค้าก็น่าจะรู้สึกแย่ รู้สึกผิด รู้สึกติดค้างอยู่เหมือนกันนะ
เพียงแต่เขาอาจจะจัดลำดับของการใช้หนี้เราอยู่ในระดับที่ไม่สำคัญมาก
และเมื่อเวลาผ่านไปความสำคัญมันก็ลดลง
เหมือนเสื้อผ้าตัวเก่ง ที่พอเราไม่ได้ใส่นานๆ มันก็ค่อยๆ จมหายไปในตู้เสื้อผ้าของเรา
ความรู้สึกรีบเร่งนี้ก็น่าจะเช่นกัน
เอาเข้าจริงผมเองก็ไม่ได้อยากสวนทฤษฏี ของการห้ามเพื่อนยืมเงินหรอกนะ
แต่ถ้าเขาเดือดร้อนจริง เราพอมีเหลือ ไม่ได้เสียหายมากนัก ให้เพื่อนยืมเงินมันอาจไม่ได้แย่ขนาดนั้นก็ได้นะ
หรือถ้าใครชอบใส่ซองพระ ทำบุญกับขอทานซึ่งส่วนใหญ่มันจะผันกลายไปเป็นสิ่งที่ทำให้พระมัวเมา
หรือกลายไปเป็นเงินที่ไปอุดหนุนวงจรของขอทานให้กลายเป็นระบบ
อาจจะลองเอาเงินพวกนี้ใส่กองทุนอะไรเอาไว้
เป็นเงินที่พอใส่ในกองทุนเราก็นึกเลยว่าอันนี้จะเอาไว้ช่วยคนที่เดือดร้อนจริงๆ คนที่มายืมเงินเรา
เมื่อให้ไปเราก็สามารถ อิ่มเอิบกับบุญได้ ถ้าได้คืนมาก็ยัดใส่กองทุนต่อ ดูมันเติบโต
วันหนึ่งมันอาจเป็นทุนการศึกษาให้ลูกของเพื่อนเรา ลูกน้องเรา คนใกล้ชิดเราสักคน
หรือกลายเป็นเงินที่ช่วยชีวิตใครสักคนให้ไม่ตาย ไม่ติดคุก
คนที่เรารู้จักจริงๆ
คนที่เราสัมผัสกับเขาได้
และการถูกยืมเงินอาจจะกลายเป็นเรื่องดี ที่เรายินดีที่ได้ช่วยคนอื่น
ว่าแต่…. “มีสัก 200 ให้ยืมไหม?”