“เงิน” คือสิทธิการเป็นมนุษย์ในประเทศนี้
ถ้าคุณไม่มีเงิน….
เมื่อเจ็บป่วยคุณถูกกระทำเยี่ยงไม่ใช่คน ไม่เชื่อเหรอ ลองไปดูการต่อแถวของลุงๆป้าๆ ตอนตี 4 ในโรงพยาบาลรัฐสิ พวกเขาต้องเผาเวลาทั้งวันของตัวเองเพื่อได้รับสิทธิที่พวกเขาพึงได้ แถมพยาบาล “บางคน” ก็ทำอย่างกับเขาไม่ใช่ “ลูกค้า” แต่เป็นคนป่วยบ้านนอกที่น่ารำคาญ
ถ้าคุณไม่มีเงิน….
คุณมีโอกาสเพียง 0.02% ที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยรัฐชั้นนำ แถมที่เข้าไปมีจำนวนมากที่ไม่สามารถสร้าง คอนเนคชั่นกับชนชั้นนำที่เข้าไปเรียนที่เดียวกันได้ เพราะไลฟ์สไตล์แตกต่างกัน ทำให้สุดท้ายก็ยกระดับชนชั้นของตัวเองขึ้นมาได้ไม่มาก และพร้อมจะล่มสลายไปได้ทุกเมื่อถ้าเกิดความผิดพลาดในชีวิตขึ้น
ถ้าคุณไม่มีเงิน….
กฏหมายจะบังคับใช้กับคุณอย่างเคร่งครัดรัดกุมและรวดเร็ว ในขณะที่ถ้าคุณมีเงินราวกับว่ากระบวนการทางกฏหมายต้องใช้เวลายาวนานครึ่งชีวิต มันจึงจะออกฤิทธิเดชได้ หลายๆครั้งก็เลือนหายไปตามกาลเวลาเสียด้วย และถ้าคุณมีเงินมากพอ บางครั้งกฏหมายอาจจะออกแบบมาเพื่อพวกคุณเสียด้วยซ้ำ !
ถ้าคุณไม่มีเงิน….
คุณไม่มีสิทธมีบ้านที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ใกล้แหล่งงาน ไม่ขาดแคลนน้ำหรือไฟฟ้า ถ้าคุณซื้อบ้านบ้านราคา 2 – 3 ล้านในกรุงเทพฯ คุณจะต้องซื้อรถเป็นภาระแถม และต้องใช้เวลาบนถนนราวๆ 2 ชั่วโมงต่อวันเพื่อเข้ามาทำงานในเมือง คุณไม่มีสิทธเรียกร้องรถสาธารณะที่มีคุณภาพ ปลอดภัย และตรงต่อเวลาได้ เพราะคุณไม่มีเงินพอ
ถ้าคุณไม่มีเงิน….
ลองคิดต่อแล้วกัน ผมเชื่อว่าเราคงคิดต่อด้วยประโยคแบบนี้ได้อีกเป็นร้อย ๆ เรื่องรอบๆตัวเรา คิดได้ทุกวัน แล้วก็จะมีคนมาบอกคุณว่า
“คิดไปก็แก้ไขอะไรไม่ได้ มันเป็นของมันแบบนี้”
ลงเอยด้วยการที่ทุกคนจึงต้องก้มหน้าก้มตาหาเงิน
เพราะเรารู้ว่าอภิสิทธิทั้งหลายนั้นมาพร้อมเงิน
เราจึงทำทุกอย่างให้ได้มันมา
กักตุนหน้ากากอนามัยขายในราคา 10 เท่า 20 เท่า
ใช้เส้นสายแอบเข้าถึงข้อมูลที่ควรเป็นความลับ เพื่อให้ตัวเองได้เปรียบ
รับเงินสินบน แลกกับการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์
ทั้งหมดเพราะเรายอมรับว่า
“เงินคือสิทธิของการเป็นมนุษย์”
ไม่ใช่แค่ความได้เปรียบในการใช้ชีวิต แต่มันกลายเป็นสิทธิที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นศักดิ์ศรีความเป็นคน
คำถามคือ?
เราต้องยอมรับต่อข้อเท็จจริงนี้ไหม?
ถ้าไม่ยอมรับ เราควรต้องทำอย่างไร?