ฟังเวอร์ชันเสียงที่นี่
ตลอด 7 – 8 ปีที่เริ่มเดินป่ามา ช่วงปีใหม่จะเป็นช่วงที่ผมหลบลี้เข้าป่ามาตลอด เพราะไม่อยากเผชิญหน้ากับคนเยอะๆ แล้วก็ค่อนข้างได้ผล ส่วนใหญ่เวลาว่างหลายวันก็จะเข้าป่าไปเสียซัก 3 – 4 วันออกมาทุกคนก็กลับไปทำงานเกือบหมดแล้วสบาย
ปีนี้ก็เช่นกัน แต่ไม่ค่อยเหมือนปีก่อนๆ เพราะ ผมเองไม่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่แรกอาศัยว่าจะเกาะๆ ชาวบ้านไปแล้วก็ไม่ผิดคาดเพราะไปเจอกับทีม Outdoor DNA ที่เปิดทริปไปมึนๆกันที่เขาทะลุชุมพรพอดี
ก่อนหน้านี้ผมเองเคยติดตามทีมนี้ที่พยายามเข้าไปสำรวจถึง 3 ครั้งมาก่อนหน้าและครั้งล่าสุดเพิ่งสามารถไปถึงได้ แต่ก็ทุลักทุเลมากมาย เอาเป็นว่าใช้เวลา 3 วันโรยตัวทั้งคืนออกมาได้ก็เช้าของอีกวัน
จะว่าไปผมเองก็ไม่ได้อยากจะลำบากขนาดนั้น แต่พอกดเข้าไปดูรายชื่อคนที่ไปด้วยแล้วพบว่ามีน้องผู้หญิงที่ผมรู้จักไปด้วย ซึ่งประเมินแล้วว่าถ้าน้องคนนี้ไปได้ผมก็น่าจะไปได้แหละ แปลว่ารอบนี้เค้าน่าจะจัดการเส้นทางไว้หมดแล้ว เลยตัดสินใจลงชื่อไปด้วย เป็นอันจบแผนปีใหม่แบบง่ายๆ
รายละเอียดทริปก็ไม่ทราบอะไรเลย รู้แค่ว่าถ้าทีมนี้ไปน่าจะเป็นปีนป่ายโรยด้วย ใช้ระบบเชือกอะไรทำนองนี้ ซึ่งเอาจริงๆแล้วผมเองเป็นคนกลัวความสูง แม้จะเคยโรยตัวลงถ้ำบ่อผีที่แม่ฮ่องสอนมา 2 รอบ และเคยเรียนการใช้งานอุปกรณ์ต่างๆมาแล้วบ้าง แต่ก็ไม่ได้มั่นใจกับเทคนิคที่มีมากนัก แต่ด้วยความที่มันเป็นที่ใหม่ความรู้สึกอยากเห็นมันมากกว่าความกลัว เลยตัดสินใจไปเอาง่ายๆแบบนั้น
ถ้าพูดถึงเขาทะลุชุมพร นอกจากเรื่องกาแฟแล้ว ถ้าลอง search google ดูก็จะเห็นภาพเขาทะลุที่เห็นจากดอยฝั่งตรงข้ามคือดอยตาปัง

ปกติเวลาเค้าบอกว่าจะไปชมวิวเขาทะลุ ทุกคนจะหมายถึงไปดอยตาปังนี่แหละ ขนาดแม่ค้าในตลาดยังมั่นใจมากว่าพวกเอ็งไปดอยตาปังแน่ๆ แต่ป่าวเลย

ส่วนที่เราจะไปคือ เขาทะลุจริงๆ คือเราจะปีนจากฐานเขาทะลุขึ้นไปที่ปล่องเขาเลย แบบว่าเห็นเต็มๆสองตาจริงๆในระยะใกล้ที่สุดเท่าที่มนุษย์จะเข้าไปถึงได้
ผมก็ตกลงกับคนในทริปไว้ว่าจะขอติดรถไปลงที่บ้านคนนำทางที่สวีด้วย ง่ายๆแค่นั้น….
วันที่ 28 ธันวาคม 2562
ผมอยู่แถวๆสวนผึ้งราชบุรี จู่ๆเย็นวันนั้นก็ได้รับสายจากผู้จัดทริปว่าคนที่ผมจะติดรถไปลงด้วย จะไม่ไปแล้ว…. ผมรับรู้ได้ทันทีว่าการผจญภัยเริ่มแล้ว อันดับแรกผมจะต้องหารถสาธารณะไปลงแถวๆแยกเขาปีบก่อน ซึ่ง OK นี่มันคือเย็นวันที่ 28 ในขณะที่ผมต้องเดินทางวันที่ 30 ธันวาคมวันสิ้นปี !!
ผมเริ่มจัดแจ้งหาข้อมูลว่ามีเส้นทางไหนไปลงแถวนั้นได้บ้าง แต่ไม่มีเลย! เอาจริงๆคือโทรไปหลายที่มาก จนเริ่มจะถอดใจแล้ว…
จนในที่สุดต้องโทรไปถามคนที่ไปถึงก่อนให้ถามคนในพื้นที่เพื่อหาสายรถทัวร์ที่ผ่านแยกเขาปีบ แล้วก็ได้ชื่อว่า สุวรรณนทีทัวร์ ผมจัดแจงโทรไปทันทีที่หาเบอร์ได้ บอกเส้นทางเวลาที่ต้องการ ปลายสายตอบมาว่ามีแค่ที่เดียวพอดี และต้องจ่ายเงินวันนี้เท่านั้น!!
ถือว่าโชคร้ายยังอยู่ข้างผม ผมได้เดินทางไปลำบากแน่ๆ แม้จะงงๆไปบ้างก็เถอะ
เช้าประมาณ ตี 3 ครึ่งก็ไปถึงแยกเขาปีบรอคนมารับ ราวๆ 7 โมงก็ถึงบ้านคนนำทาง
ปัญหาใหญ่ของเส้นทางนี้คือไม่มีใครเคยขึ้นมาก่อน แม้ว่าเอาจริงๆทางทีมจะมีคนไปมาก่อนแล้ว แต่พอต้องไปใหม่ก็ต้องเซ็ตระบบเชือกกันใหม่ ต้องปีนป่ายกันใหม่อยู่ดี ที่สำคัญข้อมูลที่มีน้อยมาก

หลังจากกินข้าวเช้ากันนิดหน่อย เป็นหมูย่างสองไม้ข้าวเหียวห่อนึง ก็ได้รับรู้ว่ามื้อเที่ยงของเราคือหมูย่างกับข้างเหนียวเช่นกัน เราเลือกเอาฮาเนสที่พอดีตัวหมวกคนละใบและอุปกรณ์นิดหน่อยเพื่อใช้ขึ้นและลงตามเชือก


ที่จริงแล้วมีทีมงานราวๆ 4 – 5 คนล่วงหน้าไปทำทางกับเซ็ตระบบเชือกไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวาน และตอนนี้น้ำหมดแล้วด้วยหน้าที่ของพวกเราอีกอย่างเลยเป็นการเอาน้ำขึ้นไปให้ทีมข้างบนด้วย เพราะข้างบนนั้นไม่มีแหล่งน้ำเลย
เดินไปจากบ้านคนนำทางเพียง 500 เมตรก็เจอกับทางขึ้น เราตัดขึ้นไปทั้งชันๆแบบนั้น เพียงแค่ 200 เมตร ใช่ 200 เมตรเท่านั้น!!! เราก็เจอกับหน้าผาตั้งขวางเราอยู่ จากนี้ไปคือไม่ใช่ที่ที่จะเดินได้อีกต่อไป ต้องปีนเชือกเพียงอย่างเดียว

ตรงนี้ความสูงเพียงแค่ 30 เมตรเท่านั้นแต่มีปัญหาเยอะมาก บางคนถีบตัวเองไม่ขึ้นบางคนติดอยู่บนเชือก แค่ตรงนี้ผมก็ติดคิวอยู่ราวๆ 3 ชั่วโมง !!!
ระหว่างทางก็มีบ่างตัวใหญ่มากโผมาจากไหนไม่รู้มาเกาะอยู่ต้นไม้เหนือหัวเรา
3 ชั่วโมงผ่านไป ผมก็ได้ขึ้นไปข้างบนเสียที การขึ้นไม่ยากเท่าไหร่ ไม่มีของเกะกะมากเท่าตอนปีนขึ้นจากถ้ำบ่อผี แต่เหนื่อยเพราะไม่ค่อยชินเท่าไหร่ เมื่อถึงข้างบนได้ก็ต้องอาศัยการปีนป่ายอีกนิดหน่อย เพื่อไปยังยอด ซึ่งผมเองก็รีบๆ แกะรอยเก่าไปเรื่อยๆ กะว่าข้างบนอาจจะมีวิวสวยๆให้ถ่ายบ้าง ก่อนแสงจะหมดไป เพราะตอนนี้ก็เวลา 4 โมงเย็นแล้ว
ปรากฏว่าพอไปได้ซักพักเส้นทางมันยากขึ้นๆ จนเริ่มรู้สึกว่า
“นี่เรามาผิดทางหรือเปล่าวะ?”
เลยถ่ายรูปส่งไปใน FB group เพื่อถามคนอื่นๆ

OK มาผิดทางจริงๆด้วยแต่คนนำทางบอกว่าสามารถไปต่อได้ เลยแข็งใจปีนต่อ

ประมาณ 5 โมงเย็นในที่สุดก็ไปถึงยอดได้สำเร็จ ระยะทางทั้งหมดเพียงแค่ 1.5 กิโลเมตรเท่านั้นแต่ใช้เวลาทั้งวัน!!!

ในครั้งก่อนหน้าทีมที่มาโรายตัวลงไปในหลุมยุบแล้วเดินออกอีกฝั่งนึงด้วย ซึ่งอันนั้นใช้เวลาอีก 1 วัน 1 คืนเต็มๆ ครั้งนี้เวลาไม่พอทำได้แค่นอนมองปากหลุมอยู่ไกลๆ
สิ่งนึงที่แปลกมากคืออากาศตลอดทางที่ปีนขึ้นมาคือสภาพร้อนอบอ้าวไม่มีอากาศไหลเลย แต่พอมาถึงปากหลุมยุบ ลมกลับพัดตีตลอดเวลาเรียกว่าอยู่นานๆมาหนาวแน่ๆ คาดว่าเป็นลมที่มาจากฝั่งทะเลอ่าวไทยพักเข้ามา แต่ดูตามแผนที่พบว่าทะเลอยู่ห่างไปถึง 17 กิโลเมตร
ปัญหาอีกเรื่องคือที่หลับที่นอน บนยอดนี้ไม่มีที่เรียบเลย และไม่มีต้นไม้ที่พอให้ผูกเปลได้ด้วย ราวๆ 15 ชีวิตต้องกระจัดกระจาย บ้างนอนตามโขดหิน บ้างผูกเปลกันริมผา ส่วนผมเลือกกลับลงมาผูกหลบลมอยู่ไกลๆ ที่ผูกเปลไม่ได้สะดวกนักแต่ดีกว่าไม่ได้นอน
อีกปัญหาที่เจอคืออาหารไม่เพียงพอ ลำพังน้ำที่เอาขึ้นไปต้มมาม่า ต้มกาแฟก็เกือบจะหมดแล้ว ทำให้กินไปแค่มาม่า 1 ห่อกับขนมปังเพียง 2 แผ่นเท่านั้น หลังจากเอาน้ำให้กองกลางผมเริ่มกังวลกับปริมาณน้ำที่เรามี
คืนนี้เป็นคืนส่งท้ายปีเก่าแต่ผมเข้านอนไปตั้งแต่ 2 ทุ่มด้วยน้ำไม่ค่อยพอเซฟน้ำไว้ด้วยการนอนน่าจะดีกว่า ฟ้ามืดครึ้มอยู่ตลอดผมภาวนาให้ฝนตกพอรองน้ำได้ซักหน่อย
ระหว่างคืนมีฝนตกมาจริงๆ แต่ตกกะเปาะกะแปะไม่ได้มากพอจะให้รองน้ำ จนกระทั้งใกล้ๆเช้าราวๆ ตี 4 ตี 5 ฝนก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา ผมรีบกระโดดออกมาจากเปล ควานหาแก้วรองน้ำจากฟ้าจนได้มา 1 ขวดเต็มๆ 1.5 ลิตร ผมได้อาศัยน้ำนี้แปลงฟันและต้มน้ำกินโจ๊กตอนเช้าทำให้น้ำเหลือพอจนกลับลงมาด้านล่างได้ แถมพอแบ่งให้กองกลางอีก ค่อนขวด
ภารกิจเช้านี้คือการผูก Portaledge นั่งเล่น
Portaledge คือ…. อธิบายยังไงดี ดูเอาแล้วกันนะ

การผูกนี่ก็ยุ่งยากซับซ้อนมาก จนดูแล้วเวียนหัวแต่ทั้งหมดก็เพื่อความปลอดภัยนั่นแหละ

แต่อุปสรรคของวันนี้คือการลง…
ขาลงเราจะโรยตัวลงมาด้วยเชือกราว 100 เมตร ปกติผมเองไม่ค่อยถูกกับการโรยตัวลงซักเท่าไหร่แต่คราวนี้ยากกว่าเดิม เพราะจุดที่เราโรยตัวลงเต็มไปตัวไม้ที่ขวางทาง และเชือกที่พันกันรุงรัง
ผมโรยตัวลงไปช่วงแรกๆก็ยังมั่นใจอยู่สบายๆลงไปได้ราวๆ 40 เมตรก็เจอกับหลุม !!
คือแนวของเชือกโรยตัวด้านล่างนั้นพาดอยู่กับขอนไม้ใหญ่ทางซ้าย ในขณะที่แนวเชือกด้านบนนั้นมาทางขวาเมื่อลงมาเรื่อยๆก็จะเจอกับสภาพติดแหงกคือ ตัวเราตกลงไปในหลุมที่ไม่มีที่ยืน โดนเชือกห้อยอยู่ เมื่อมองย้อนกลับไปทางเชือกก็จะพบว่าเชือกพันอยู่กับกระเป๋าเราพาดไปทางขอนไม้ใหญ่ซ้ายมือ ซึ่งทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือ การปีนกลับมา
ฟังดูเหมือนง่ายๆ แต่การปีนในขณะที่ขาลอยอยู่ในอากาศนั้นเป็นเรื่องยากมาก โชคดีนิดหน่อยที่อุปกรณ์ที่ผมใช้โรยตัวลงสามารถล็อคตัวเองขาขึ้นได้ แต่… ผมต้องใช้มือขวาข้างเดียวยกตัวเองให้ลอย แล้วใช้มือซ้ายดึงเชือกให้ล็อกทีละนิด ตอนนั้นตัวเลือกก็ไม่เหลือแล้ว ผมกลั้นหายใจดึงตัวเองครั้งแรก ขยับไปได้ราวๆ 4 – 5 เซ็นติเมตร ขยับแบบอีกอีก 2 – 3 ครั้งผมก็สามารถคว้าขอนไม้ปีนกลับเข้ามาได้แล้ว
เรียกได้ว่าหมดแรงพอดี ผมตะกายกลับขึ้นมาบนขอนไม้ได้ แต่ตอนนั้นแค่แรงคว้าเชือกก็จะไม่มีแล้ว ได้แต่ค่อยๆปล่อยตัวเองลงแบบซอมบี้ไปเรื่อยๆ
ลงมาได้อีก 10 – 20 เมตรขาผมก็ไปติดอยู่กับเถาวัยล์ 3 เส้นเหนียวๆ ในสภาพที่ขายกสูงเกือบเท่าหน้า โชคดีที่มีมีดติดมาด้วยเลยตัดทิ้งแต่ก็ทำให้หน้าคว่ำไปเหมือนกัน
เอาจริงๆคือไม่รู้เลยว่านานเท่าไหร่ แต่ 100 เมตรนั้นช่างยาวไกลจริงๆ ผมลงมาถึงพื้นด้วยสภาพมอมแมม และหิวน้ำมาก เดินโซซัดโซเซกลับบ้านคนนำทาง ….
เป็นอันจบทริปที่ไม่น่ามาเล้ยยย ฮ่าๆๆ แต่ถามว่าเข็ดไหม? ก็อืม…. คิดก่อนนะ