รีวิวสนามบาลาเทรล เจอกันเมื่อผลไม้ติดดอก

Posted by

 

บาลาฮาลา ฟังดูเป็นชื่อที่ไม่ค่อยเหมือนภาษาไทยซักเท่าไหร่
บาลาฮาลาเป็นผืนป่าที่ตั้งอยู่ในอำเภอ สุคิริน จังหวัดนราธิวาส เอาเข้าจริงผมได้ยินชื่อที่คล้ายๆกันนี้มาก่อนจากการที่มี พี่ๆ น้องๆ นักเดินป่าหลายคนได้ไปเที่ยวในผืนป่าที่ชื่อกลับกันว่า ฮาลา บาลา ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดยะลา

โดยคำว่า “บาลา” มาจากคำว่า “บาละห์” ที่แปลว่า “หลุด” หรือ “ปล่อย” มีที่มาจากช้างเชือกหนึ่งที่หนีเข้าป่าฝั่งอำเภอสุคิริน และคำว่า “ฮาลา” หมายถึง “อพยพ” หมายถึง ผู้คนที่อพยพย้ายถิ่นฐานมาจากตัวเมืองปัตตานีในอดีต จนมาอาศัยอยู่เป็นชุมชนรอบ ๆ ชายป่า โดยป่าแห่งนี้อาจเรียกชื่อสลับกันได้ว่า บาลา-ฮาลา โดยผู้คนที่อยู่ในอำเภอสุคิรินจะเรียกว่า “บาลา-ฮาลา” แต่คนที่อาศัยในอำเภอเบตงจะเรียกว่า “ฮาลา-บาลา”

สภาพป่าเป็นป่าดิบชื้นหรือป่าฝนเมืองร้อนที่อุดมสมบูรณ์มาก และมีความหลากหลายทางชีวภาพสูง มีความชื้นสูงตลอดทั้งปี มีลำน้ำไหลผ่าน ถือได้ว่าเป็นผืนป่าดิบชื้นที่กว้างขวางและใหญ่ที่สุดของคาบสมุทรมลายู จนได้ฉายาว่าเป็น “แอมะซอนแห่งอาเซียน
ผมได้สัมผัสผืนป่าบาลา ฮาลา ครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผ่านการชักชวนของพี่ที่เดินป่าว่ามีการจัดกิจกรรมการเดินป่าที่นี่ ซึ่งดูเวลาแล้วว่างและยังไม่เคยไปถึงนราธิวาสเลย ก็เลยตัดสินใจไป
เมื่อไปถึงจุดที่เราจะใช้ในการเตรียมตัวเพื่อเข้าป่า ผมก็ได้เห็นซุ้มที่ดูเหมือนจุดปล่อยตัววงานวิ่ง และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้ยินชื่องานเทรล ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับป่าที่ผมกำลังจะเดินเข้าไป bala trail ดูจากระยะและความชันแล้วไม่ได้โหดร้ายมาก ซึ่งก็น่าจะลองมาวิ่งดู เล่นๆเหมือนกันแต่ตอนนั้นก็ไม่ได้จริงจังมาก
น่าเสียดายที่รอบที่ไปเดือนกุมภาพันธ์สภาพป่าคือแล้งมาก แต่นั่นก็ไม่อาจปิดบังความงดงามของผืนป่าได้ ผมสัญญากับน้องๆที่เดินป่าว่าผมจะกลับไปอีกแน่นอนตอนที่ป่าชุ่มชิ้นกว่านี้ และบาลาเทรลก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี
น้องที่นำเดินป่าในทริปของผมในครั้งนั้นชื่อว่า กาลิม ซึ่งตอนคุยกันผมก็ได้สอบถามถึงช่วงเวลาที่จะจัดงานบาลาเทรลอีก และก็ได้รับคำตอบที่น่าสนใจว่า ยังไม่รู้ เพราะต้องดูว่าผลไม้ติดดอกตอนไหน !!
เฮ้ยยย มีด้วยเหรอวะ งานวิ่งที่จัดตามการติดดอกของผลไม้!!!
ถึงตอนนี้บาลาเทรลกลายเป็นงานที่ผมปักหมุดรอไปเรียบร้อยแล้ว อยากรู้จริงๆว่างานที่ถูกจัดในพื้นที่ที่ห่างไกล แถมเป็นพื้นที่ที่คนเมืองส่วนใหญ่หวาดกลัว ที่จัดวิ่งผ่านผืนป่าที่น่าสนใจผืนนึง และจัดโดยชาวบ้านเองโดยไม่ได้มีออกาไนซ์เซอร์มืออาชีพมาจัดจะมีหน้าตายังไง ซึ่งผมก็ทำได้แค่กด like page bala trail และตั้งตารอ…
ประมาณเดือนพฤษภาคม ก็มีประกาศออกมาจากทางเพจว่าจะเปิดรับสมัครในวันที่ 11 เวลา 11 โมง สำหรับคนทั่วไปโดยรับประมาณ 150 คนสำหรับระยะ 30km ซึ่ง เฮ้ยยย รับน้อยจังวะ และก็เป็นอย่างคาดการสมัครปิดอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงชั่วโมงเพราะคนสมัครเข้ามาเต็มแล้ว ซึ่งแน่นอนเรื่องยื้อแย่งอะไรแบบนี้ผมถนัดนัก ก็สามารถสมัครได้อย่างไม่ยากเย็นเท่าไหร่ โดยเอาเข้าจริงแล้วยังไม่รู้เลยว่าจะเดินทางยังไง พักที่ไหน ความชัน หรือเส้นทางเป็นยังไงบ้าง สิ่งที่มั่นใจมีเพียงอย่างเดียวคือ ชุมชนและน้องๆกลุ่มอาสาสมัคร

สำหรับการเดินทางไปยังสนามนี้ ถ้ามาจากกรุงเทพมี 2 ทางเลือกที่น่าสนใจคือ ไปทางรถไฟ ซึ่งใช้เวลาราวๆ 23 ชั่วโมง แน่นอนผมเลือกทางเลือกที่ 2 คือนั่งเครื่องบินไปลงนราธิวาส ซึ่งเครื่องบินขาไปจะมีแค่ 2 เที่ยวจาก 2 สายการบิน คือ airasia และ Thaismile เท่านั้น airasia จะรอบสวยกว่าหน่อยคือไปถึงสนามบินนราธิวาสราวๆ เที่ยงนิดๆ ในขณะที่ของ Thaismile จะไปถึงตอน 4 โมงเย็นซึ่งเย็นเกินไป เกินกว่าที่จะไปถึงสุคิรินได้ก่อนมืด ดังนั้นถ้าไม่ได้มาก่อนวันแข่ง 1 วันทางเลือกเดียวของการบินมาคือ Airasia เพียงอย่างเดียว

ทางทีมงานมีรถสองแถวรับส่งจากสถานีรถไฟสุไหงโกลกไปยังบริเวณงานเท่านั้น ดังนั้นเราต้องหาทางเดินทางไปยังสถานีรถไฟสุไหงโกลก ซึ่งเราสามารถเดินทางไปได้โดยรถตู้ราคา 180 บาท เคาเตอร์อยู่ตรงสายพานรับกระเป๋าเลย ที่ใช้ตอนไปคือบริษัทชื่อ ดีดีทัวร์ซึ่งก็ OK ดีให้คำแนะนำได้ดี ซึ่งควรจะจองก่อนวันงานจะได้ไม่ต้องลุ้นมาก รถสองแถวในเว็บจะมีให้จองล่วงหน้าเป็นรอบๆ แต่เอาเข้าจริง คือพี่แกอยากออกตอนไหนก็ออก รอๆกัน ฮ่าๆๆ ซึ่งก็เป็นแนวไม่เป๊ะแต่รอๆกันดี

สรุปการไปถึงงาน นั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินนราธิวาสเวลาเที่ยงกว่าๆ > นั่งรถตู้ 180 บาทใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ถึงสถานีรถไฟสุไหงโกลก > นั่งรถสองแถวของงาน ซึ่งฟรี ไปยังนาขั้นบันไดบ้านยาเด๊ะ อำเภอสุคิรินอีกราวๆ 2 ชั่วโมง

มาถึงงานเกือบๆ 4 โมงเย็น ระบบการรับ BiB การลงทะเบียนที่พักทุกอย่างดูวุ่นวายและไม่มืออาชีพ แต่นั่นแหละเป็นสิ่งที่เข้าใจได้เพราะที่นี่คนที่จัดงานคือชาวบ้านแถวนี้ไม่ได้มี professional organizer จัดการแต่อย่างใด ทำให้รู้สึกเข้าใจได้

เมื่อมาถึงสิ่งแรกที่เจอคือ การิม น้อง ที่เคยเจอกันตอนเดินป่าเดินมาพร้อมกับลองกองในมือ ผมที่รู้สึกพะอืดพะอม ไม่รู้เพราะอะไรก็รีบรับเอามากินแล้วรู้สึกสดชื่นมาก คือลองกองสดมาก หวานมาก การิมบอกว่า

“บนเบาะมอไซค์มีอีกพี่เอาไปหมดนั่นเลย” เราเองก็เกรงใจเลยหยิบมานิดๆหน่อยๆ ปรากฏว่าพอไปถึงงาน ภาพที่เห็นคือมีเรือคายัคขนาดมาตรฐาน 3 ลำตั้งอยู่ภายในเรือมีผลไม้อัดแน่น ทั้งลองกอง มังคุด และเงาะ แถมยังมีมาเทเติมเรื่อยๆ เรียกว่าเป็นสวรรค์ของคนชอบผลไม้เลยละ แล้วผลไม้ที่นี่สดมาก แน่นอนว่ามาจากสวนแถวๆนี้ทั้งหมด

บรรยากาศในงานคนเริ่มทยอยมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ฟ้าก็ครึ้มลงเรื่อยๆและไม่นานฝนก็เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาแต่ก็อีกนั่นแหละเพียงไม่นานก็ซาลงไป ทำให้การบรีฟเส้นทางเป็นไปอย่างยากลำบากนิดหน่อย แต่ในส่วนของบรีฟไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากบอกว่าให้ตามเชือกสีเหลืองไป เนื่องจากมีช่วงนึงบนเขาที่มีโอกาสหลงได้ และปีนี้ยากกว่าปีที่แล้วเยอะ รู้แค่นั้นเอง ว่าแต่ปีนี้ทำไมเวลาไปสนามไหนๆ ก็ต้องยากกว่าปีที่แล้วทั้งนั้นเลยฟะ

ที่งานมีการเลี้ยงอาหารเย็นช่วงเวลา 5 – 6 โมงจำแน่ๆไม่ได้แต่หลังฟังบรีฟ จริงๆตอนนั้นต้องบอกว่ากินอะไรไม่ลงเลย พะอืดพะอมแบบแปลกๆ แต่ก็กลัวว่าจะอดไม่มีอะไรกินก็เลย เดินไปตักอาหารหน่อย ปรากฏว่าอาหารทำให้กลับมารู้สึกดีขึ้นได้ในทันที ยำผักกูดอร่อยมาก คือไม่เคยกินยำผักกูดที่ใส่มะพร้าวขูดกับน้ำบูดูมาก่อน ได้รสชาติที่ฟินมาก ส่วนแกงส้มโชนก็อร่อยจัดกุ้งมาเต็มๆ น้ำพริกกระปิก็แหล่มมาก เอาเป็นว่าฟาดเรียบ แม้จะไม่ได้กินเยอะเหมือนงานแข่งปกติแต่ก็กินได้มากกว่าที่คิดไว้

เมื่อกินเสร็จเราก็แยกย้ายกลับบ้าน ต้องเล่าว่าที่นี่มีให้เลือกที่พัก 2 แบบคือแบบกางเต้นท์เองหรือพัก โฮมสเตย์คือนอนบ้านชาวบ้านนี่แหละ บ้านพี่ๆทั้งหลายก็ไม่ได้สร้างมาเพื่อเป็นโฮมสเตย์หรอกแต่ ก็เหมือนแบ่งบ้านมาให้นักวิ่งนอนกัน ไม่มีที่นอนหรือฟูกอะไรมีแต่ผ้าห่มกับหมอนเท่านั้น บ้านหลังนึงนอนราวๆ 15 คน แล้วแต่โชคชะตา เอาจริงๆก็อยากกางเต้นท์นอนนะเพราะเคยมานอนที่นี่แล้วอากาศดี บรรยากาศดีมากแต่… ด้วยความงกไม่อยากโหลดน้ำหนักเครื่องบินเลยตัดปัญหานอนโฮมสเตย์แล้วกัน

ผมได้นอนบ้านของคนที่ชื่อ แมะนะห์ ซึ่งเอาจริงๆบ้านหลังนี้พี่ที่มีเปิดบ้านให้บอกว่าไม่มีคนอยู่เพราะ เจ้าของไปอยู่ในเมืองเลยฟรีสไตล์มากๆ แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากมีแค่พื้นว่างๆกับหมอนและผ้าห่มจำนวนหนึ่ง ปรากฏว่าคืนนั้นนอนไม่ค่อยหลับรู้สึกตัวทั้งคืน ซึ่งเป็นเรื่องที่แย่มากสำหรับการวิ่ง

เรื่องผิดแผนอีกเรื่องหนึ่งที่เพิ่งมานึกได้ก่อนนอนไม่นานคือ ขากลับจะกลับยังไง? ใช่แล้วมันฟังดูเป็นเรื่องที่โง่มากที่คนที่เดินทางมาหลายที่อย่างผมจู่ๆก็ลืมไปว่า เออวะ แล้วจะกลับยังไงวะ?

ตั๋วเครื่องบินขากลับที่ผมจองไว้คือ 16:40 แปลว่าผมควรถึงสนามบินตอน 15:40 และอาจจะใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง เพื่อมาถึงสนามบินแปลว่าผมควรออกจากสุคิรินเวลา 11:40 และรอบรถสองแถวที่เร็วที่สุดคือ 11 โมง

“เชี่ยยย แล้ววว แปลว่าผมต้องวิ่งให้จบราวๆ 10โมงครึ่งเพื่อกลับบ้านพัก อาบน้ำ แต่งตัวและกลับมางานเพื่อขึ้นรถสองแถวให้ทันก่อน 11 โมง เท่ากับว่าผมมีเวลาอยู่ในสนามแค่ 4 ชั่วโมงครึ่ง!!”

หมดกันแผนค่อยๆชมป่าของผม แต่ก็ยังคิดเข้าข้างตัวเองว่าน่าจะทันน่า ปกติวิ่งทางราบถ้าตั้งใจ 30 กิโลก็ใช้เวลาราวๆ 2 ชั่วโมงครึ่ง บวกความชันให้นิดๆหน่อยๆ 4 ชั่วโมงก็น่าจะจบน่า ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆนะ

ตัดภาพมาตอนเช้าปล่อยตัวประมาณ 6 โมงเช้าแต่ก็ต้องรีบมาก่อนเพื่อกินให้เรียบร้อยก่อนออกวิ่ง ตอนเช้าบรรยากาศเย็นสบายราวๆ 23 -24 องศามีหมอกไหลตามยอดเขาไกลๆ ผมรีบพุ่งออกตัวอยู่ในกลุ่มแนวหน้าเพื่อจะหนีจากการรถติดที่เคยเจอตอนเขาครามเทรล เกาะกลุ่มหน้ามาได้ราวๆ 2 กิโลรู้สึกว่าค่อนข้างเหนื่อย พอก้มมองนาฬิกาจึงได้รู้สาเหตุ

“อ๋อนี่เรากำลังวิ่งอยู่ใน pace 4 ต้นๆนี่เอง” เร็วเกินไปแล้วโว้ยยย แนวหน้าเค้าวิ่งกันแบบนี้ได้ไงวะ!!

ราวๆกิโลเมตรที่ 2 เราก็เลี้ยวเข้าสวนของใครซักคนเส้นทางตรงนี้เริ่มเป็นเขาขึ้นลง ไม่ชันแต่ทุลักทุเลเพราะเป็นหญ้า เป็นโคลนและหลุมถึงตรงนี้ความเร็วผมก็ลดลงแบบสุดๆไปเลย ด้วยเพราะกลัวข้อเท้าแพลงเหมือนสมัยไปวิ่งที่เกาะลันเตาแล้วต้องหามตัวเองออกมาจากสนามอีกหลายกิโลทรมานมากๆ จาก pace 4 กลายเป็น pace 9 ทันที

หลังจากขึ้นลงเขาสั้นๆ อยู่ได้ราว 1 กิโลเมตรก็เป็นทางลงพาเรากลับเข้าถนนซีเมนต์ ซึ่งตรงนี้ราวๆ 2 กิโลเมตร มีพี่น้องชาวบ้าน ทั้งเด็กผู้ใหญ่มายืนดูเราอย่างสนุกสนาน คงสงสัยว่าพวกนี้มาวิ่งอะไรกัน ส่วนใหญ่ออกมาถ่ายรูปนักวิ่งกัน

แม้จะเป็นถนน แต่ก็เป็นถนนที่เป็นเนิน ผมเดินเมื่อขึ้นเนิน วิ่งตอนลงเนิน ตอนนี้นับไม่ถูกแล้วแต่มีหลายคนเริ่มแซงผมไปเรื่อยๆ

ราวๆกิโลเมตรที่ 5 เราตัดผ่านเนินสวนยางนึงไป แม้เนินจะไม่ได้ชันมากแต่ผลลัพธ์จากการอดนอนเมื่อคืนเริ่มส่งผลแล้ว กูจะรอดไหมวะ ผมคิดในใจ หลังจากลงจากเนินแรกเส้นทางก็เป็นสวนไปตลอดเส้นทางค่อนข้างราบเรียบ วิ่งง่ายๆ เหมาะกับมือใหม่ ที่ซ้อมมาบ้าง

กิโลที่ 11 จุดเช็คพ้อยต์ที่ 1 มีน้ำและกล้วยอยู่นิดหน่อย ผมเติมน้ำให้เต็ม กินกล้วยไปใบนึงเพราะรู้ว่าหลังจากนี้คือนรกแน่ๆ เพราะในแผนที่บอกว่าเราต้องขึ้นเขาชันๆ อีก 2 ลูกเป็นระยะทางอีก 7 กิโลเมตรเราจึงจะเจอกับจุดให้น้ำที่กิโลที่ 18

หลังจากกิโลที่ 11 ไปนี่คือความสวยงามที่แท้จริงของบาลาฮาลา จะบอกว่าป่าแถบนี้สวยกว่า ที่ผมไปเดินมาเสียอีก ทางชันปีนป่ายแบบนี้ปกรกชื้นแบบนี้แน่นอนว่าเราแทบวิ่งไม่ได้เลย ทำให้ผมพอได้มีโอกาสชมป่าอย่างที่หวังเอาไว้บ้าง แต่นั่นแหละหัวใจมันก็เต้นแรงจังเลยเว้ยยย แต่ช่วงขึ้นเขานี้กลับทำให้ผมแซงคนกลับมาได้อีกจำนวนเยอะพอสมควร หลังจากถึงจุดสูงสุด 2 ครั้งก็เป็นทางลง

ระยะขาด!!

ผมลงมาถึงจุดให้น้ำที่ 2 ตอน 15 กิโลเมตรทั้งๆที่ควรจะเจอในกิโลที่ 18 แปลว่าระยะขาดแน่ๆ ระหว่างทางผมก็ดูและประเมินระยะมาตลอดไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาดได้ แปลว่าระยะหายไป ราวๆ 3 กิโลเมตรผมกระหยิ่มอยู่ในใจ แบบนี้ความฝันจะจบได้ใน 4 ชั่วโมงก็คงเป็นไปได้ละ

ผมเอ่ยทักเจ้าหน้าที่ประจำจุดว่านี่ระยะขาดหรือเปล่า แต่เจ้าหน้าที่บอกว่าพี่นั่นแหละเร็วไป ฮ่าๆๆ อ่ะ โอเคสมประโยชน์เพราะยังไงเราก็ต้องรีบไปขึ้นเครื่องอยู่แล้ว

หลุดจากจุดให้น้ำที่ 2 ไปนิดเดียวเราก็กลับเข้าป่ากันอีกรอบ ตรงนี้ใจเริ่มตุ้มๆต่อมๆ เพราะในนาฬิกาบอกความชันสะสมไป 6 – 7 ร้อยแล้วแต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าความชันจะจบ คือก่อนหน้านี้เข้าใจมาตลอดว่าสนามนี้ความชันราวๆ 6 ร้อยเท่านั้นแต่นี่ประเมินแล้วความชันเกินพันแน่ๆ ซวยแล้ว ภูเขาลูกที่สองนี้ระยะทางราวๆ 2 กิโลถึงยอดเขา ความชันราวๆ 230 เมตร ความสวยงามไม่แพ้สองลูกแรกเช่นกัน

ถึงตรงนี้บอกได้เลยว่าจากสนามเทรลทั้งหมดที่เคยวิ่งมา ระยะตั้งแต่กิโลเมตรที่ 11 – 18 คือเส้นทางเทรลที่สวยที่สุดเท่าที่เจอมา มันอาจไม่ได้สวยแบบทางเหนือที่เป็นวิวเปิดกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา หรือเห็นแสงเมืองไวๆเหมือนฮ่องกง แต่มันสวยแบบป่าที่เป็นป่าจริงๆ เอาจริงๆตอนลงเขาลูกที่สาม ผมได้ยินเสียงนกกกด้วย

ประมาณกิโลเมตรที่ 19 ผมก็ได้พบกับจุดให้น้ำที่ 3 ซึ่งอยู่ใกล้กับเส้นชัยมาก จริงๆตามแผนที่เราควรจะอยู่กิโลเมตรที่ 21 ซึ่งตรงนี้น่าจะเป็นเรื่องติที่น่าจะเอาไปปรับปรุงได้คือระยะในแผนที่กับระยะในสนามจริงนั้นค่อนข้างต่างกันมาก เจ้าหน้าที่ที่จุดให้น้ำแจ้งว่าอีก 2 กิโลถึงซึ่งแปลกมากถ้าเป็นแบบนั้นจริงระยะจะหายไปเกือบๆ 10 กิโลเมตรเลย ผมเลยกินน้ำอัดลมไปนิดหน่อยเติมน้ำอัดลมพอกินแล้วก็ออกจากจุดให้น้ำไป

ปรากฏว่าที่เจ้าหน้าที่จุดให้น้ำบอกนั้นไม่ใช่ ผมเคาะๆไปเรื่อยๆโดยหวังว่าอีก แค่ 2 – 3 กิโลน่าจะถึงเส้นชัยแต่ป้ายบอกทางกลับบอกให้เลี้ยวออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ ผ่านเส้นทางที่แห้งแล้งและไร้ร่มเงา แสงแดดเริ่มลามเลียนักวิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อวิ่งไปได้ซักพักก็เจอกับนักวิ่งสวนมาพร้อมบอกว่าอีก 600 เมตร

โอเคไม่ไกลแล้ว แต่ผ่านไปพักใหญ่ๆผมก็เจอกับนักวิ่งคนที่สองผ่านมาพร้อมบอกว่าอีก 2 กิโลเมตร

เฮ้ยยย มันต่างกันได้ขนาดนั้นเลยเหรอ แต่เอาเถอะไม่ว่ายังไงก็ต้องไปให้ถึงแหละ เส้นทางขึ้นเขาชันๆไปเรื่อยๆ แม้จะไม่ได้ชันมาก ไม่ได้ไกลมาก แต่ด้วยความที่จิตใจคิดว่ามันจบแล้วมันเลยทำให้ร่างกายท้อแท้ไปด้วย ปรากฏว่าเราไปถึงเช็คพ้อยต์ที่ 2 ที่ระยะ 23 กิโลเมตรกว่าๆใกล้เคียงกับระยะในแผนที่ ซึ่งหมายความว่าเราต้องวิ่งต่ออีกราวๆ 7 กิโลโดยไม่มีน้ำอีกเลย ท่ามกลางแสงแดดที่แผดเผา ตรงนี้เป็นความพลาดของผู้จัดงานจริงๆ ที่ไม่ได้สื่อสารนักวิ่งให้ดี และไม่ได้ทำแผนที่ที่แม่นยำพอให้นักวิ่งสามารถเชื่อถือและวางแผนได้

ผมเองก็อยู่ในสภาพแย่มากคือไม่มีน้ำเหลือแม้แต่หยดเดียวท่ามกลางอากาศร้อน กลายเป็นว่า 11 กิโลเมตรสุดท้ายคือส่วนที่ยากที่สุดของสนามเพราะน้ำไม่พอ ไม่มีจุดให้น้ำ และร้อนมาก หลังจากผ่านจุดเช็คพ้อยต์ที่สองเราก็กลับตัววิ่งกลับมาทางเดิม เพื่อให้เรากลับไปเจอกับกลุ่มนักวิ่ง 15 กิโลอีกรอบ ราวๆกิโลที่ 27 ป้ายก็หักพาเราขึ้นเขาอีกรอบ รอบนี้ผมหมดแล้วจริงๆ บอกให้น้องที่วิ่งมาด้วยกันแซงไปก่อนเลยเพราะผมกระหายน้ำมาก ตรงนี้สั้นๆไม่ถึงกิโลเมตร แล้วก็กลับตัวอีกรอบ เหมือนช่วงท้ายนี่นึกอะไรไม่ออกแล้วก็เลยยัดๆ เอา ภูเขาแถวนี้เข้ามาให้ครบๆ 30 กิโล ซึ่งทำให้เสน่ห์ของสนามหายไปเยอะเลย แถมสุดท้ายระยะหายไป กิโลครึ่งได้แค่ 28 .5 กิโลเมตร

สุดท้ายเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 4 ชั่วโมง 41 นาทีเป็นอันดับที่ 12 ได้เสื้อ 25 อันดับแรกไป เข้าเส้นปุ้บคิดอย่างเดียวคือกระดกน้ำคืนร่างกายก่อน แล้ววิ่งลงไปหารถกลับบ้านเพื่ออาบน้ำทันที สุดท้ายไม่มีรถเลยยกมือไหว้ขอให้พี่มอไซต์อาสาสมัครช่วยไปส่งที่บ้าน ใช้เวลาอาบน้ำราวๆ 5 นาทีก็รีบวิ่งแจ้นออกมาเพื่อหารถสองแถวเข้าสุไหงโกลก สอบถามอยู่นานกว่าจะเจอรถสองแถว เป็นอันจบการผจญภัยทั้งหมด

สรุป สนามแบ่งเป็น 3 ส่วนคือ

กิโลที่ 1 – 11 เป็นแทรลสำหรับมือใหม่สบายๆ ทางไม่ยาก ไม่ได้สวยมากส่วนใหญ่เป็นสวน ชาวบ้านออกมามีส่วนร่วมดีมาก

กิโลที่ 11 – 19 ตรงนี้สวยสุด เป็นเทรลที่ดีมาก เป็นเส้นทางที่ยากใช้เทคนิคอลเยอะแต่สนุกดี

กิโลที่ 19 – 28 อันนี้ทรมานมาก ร้อน ไม่สวยและไม่มีน้ำเลย เหมือนใส่มาให้ครบๆ 30 โลเฉยๆ

สนามควรปรับปรุงเรื่องของการประสานงานข้อมูล คือข้อมูลในสนามพังมากทั้ง สตาฟ ทั้ง BIB ทั้งแผนที่ เข้าใจว่านี่เป็นเทรลที่ชาวบ้านช่วยกันทำแต่เรื่องข้อมูลยังไงก็ควรจะต้องถูกต้องไม่งั้นอาจอันตรายได้ ผมเองก็ไม่ใช่มือใหม่ขนาดนั้นแต่ก็เกิดสภาวะขาดน้ำในสนามเพราะการสื่อสารของเจ้าหน้าที่ที่ผิด

ถามว่าจะไปอีกไหม คิดว่าอยากไปอีกนะ แต่คราวนี้จะอยู่อีกซัก 2 วันเที่ยวรอบๆก่อน คราวนี้ติดงานเลยต้องรีบกลับมากๆ อดเที่ยวเลย

 

 

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s