รีวิวสนาม เขาครามเทรล สมิงแห่งแดนใต้

Posted by

 

เขาคราม สมิงแห่งแดนใต้ ผมถือวิสาสะตั้งฉายานี้ให้เลยแล้วกัน เพราะสนามนี้มันดุจริงๆ ความชัน ความไกล อาจจะไม่ได้โหดร้ายเท่าพี่ใหญ่ทางเหนือแต่นามนี้ดิบ เอาเป็นว่าดิบกว่าเกาะช้างที่เคยเจออ่ะ เทียบได้ว่ามันคือการเดินป่าแบบเร็วๆเลยทีเดียว

เรื่องราวของสนามนี้เกิดจากการที่เคยส่องๆ ใน Facebook ของน้องหงส์ น้องที่เคยเดินป่าด้วยกัน ซึ่งเข้าไปสำรวจเส้นทางทำสนามเขาคราม มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ไม่ได้ไป มาปีนี้เท่าที่อ่านดูเหมือนว่าเส้นทางจะโหดขึ้นและเข้าป่าลึกขึ้น สวยขึ้น ซึ่งเอาเข้าจริงมันถูกจริตคนเดินป่าและชอบอยู่ในป่าอย่างผมมาก แล้วอีกอย่างสนามเทรลทางใต้นี่ก็ถือว่าเป็นของใหม่กับผมมาก ส่วนใหญ่แล้วสนามเทรลที่นักวิ่งเทรลคุ้นเคยจะอยู่ เชียงใหม่ เชียงราย ทางเหนือซะเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าลิ้มลอง

ทริปนี้ก็คิดง่ายๆเลย นั่งเครื่องบนไปลงที่ตรัง เช่ารถขับไปสนามแข่ง แต่ด้วยที่เพิ่งได้ BIB มา ทำให้ทุกอย่างมันฉุกละหุกไปหมด ที่พักบริเวณใกล้ๆงานเต็มหมดแล้ว เลยใช้วิธีจิ้มตาม Google map ไปเรื่อยๆว่ามีโรงแรมอะไรบ้าง ทำให้ไปเจอกับโรงแรมชื่อประหลาดอันนึงในแผนที่ชื่อว่า Li Tatoen Kraen Hoten นอกจากชื่อประหลาดแล้วตำหน่งที่ตั้งยังประหลาดด้วยคือมองจากแผนที่มันไปอยู่ในซอยที่ไม่น่าจะมีโรงแรมไปตั้งอยู่ได้ สิ่งที่ผมทำคือผมการใช้ google street view เดินตามแผนที่เข้าไปดู แน่นอนว่าสิ่งที่พบคือสวนยางรกร้าง มีบ้านคนอยู่ตามทางแต่มองไม่ออกว่าตรงไหนบ้างที่จะกลายเป็นโรงแรมให้เราอยู่ได้ เข้าไปอ่านใน review ของ google map บอกว่าโรงแรมทันสมัยดี เอ๊ะยังไง

แต่ไม่ว่าจะโทรหาโรงแรมไหนก็ได้รับคำตอบว่าเต็มหมดแล้ว เหลืออยู่แค่โรงแรมที่อยู่ในตัวเมืองพัทลุงซึ่งห่างออกไปเกือบ 50 กิโลเมตร

เอาไงดี…

โทรหา Li Tatoen Kraen Hoten ก็ได้วะ!! (ต่อมามีคนพยายามสะกดได้ความว่ามันน่าจะอ่านว่า ลิเติ้ลแกรนด์โฮเต็ล นะ) ซึ่งเป็นเบอร์ 075 คือเบอร์บ้านเสียด้วย โทรไปเพียงแปบเดียวก็มีคนรับสาย แต่ก็เหมือนโทรศัพท์บ้านทางภาคใต้ทั่วไปที่คู่สายมักมีปัญหากับความชื้นทำให้เสียงขาดๆ หายๆ แต่พอคุยกันรู้เรื่องว่าห้องว่าง มาเลย….

ผมจึงถามเรื่องมัดจำ ปลายสายแจ้งว่าไม่ต้องเดี๋ยวจองไว้ให้ !

เอาเว้ย หวังว่าโรงแรมนี้มันจะมีอยู่จริงๆนะ ส่วนจะอยู่ตรงไหนนั้น วันไปถึงค่อยไปถามๆ หาๆ ดูเอาแล้วกัน จบไปหนึ่งเรื่อง

ปัญหาเรื่องที่สองคือ ตัวผมเองนี่แหละที่ไม่ได้ซ้อมเลย จะว่าไม่ได้ซ้อมก็ไม่ถูกนัก แต่ที่กำลังซ้อมอยู่มันเป็นช่วงของการสร้างรากฐานการวิ่งใหม่ ณ ตอนนั้นยังซ้อมก้อกๆ แก๊กๆ แค่ 12 – 15 กิโลเมตรแบบช้าๆ การลงคอร์ท tempo ทั้งหลายนั้นไม่มีเลย มีการ weight training บ้างเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้เข้มข้นมาก สรุปว่าร่างกายไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีมาก และอีกเรื่องคือผมต้องจบสนามนี้ไม่เกิน 7 ชั่วโมงให้ได้ เพราะในระยะ 40 กิโลเมตรนั้นปล่อยตัวตอน ตี 5 แปลว่าถ้าผมวิ่ง 7 ชั่วโมงจะจบตอนเที่ยงพอดี ซึ่งก็จะมีเวลาพอให้ผมรีบกลับไป check out โรงแรมได้ทัน

ซึ่งถ้าคิดตามปกติ ระยะ 42 กิโลเมตรบนถนนผมจะใช้เวลาราวๆ 4 ชั่วโมง นี่บวกเวลาไปเกือบ 2 เท่าเลยน่าจะพอไหว (มั้ง)

ความชันเองก็กำลังน่ารักแค่ 2140 เมตรเท่านั้นคือเป็นสนามระดับกลางๆ ไม่น่าจะยากอะไรมาก ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ

ตัดภาพมาวันที่เครื่องบินลงแตะสนามบินตรัง ทุกอย่างดูราบลื่น รับรถได้ปกติขับไปงานราวๆ 50 -60  กิโลเมตร ถึงงานเพื่อรับ BIB เวลาเกือบๆ 4 โมงเย็น

งานถูกจัดขึ้นในวัดซึ่งเต็มไปด้วยต้น จำปาดะ (สำหรับคนที่ไม่รู้จักจำปาดะ หน้าตามันจะเหมือนขนุนแต่มียางเยอะ กลิ่นแรงกว่ามากกก และหวานขั้นรุนแรง) ทำไมรู้เหรอ เพราะเพียงแค่ก้าวลงจากรถกลิ่นจำปาดะก็ลอยมาปะทะจมูแล้ว ในงานดูครื้นเครงมาก มีจัดดนตรีสด มีผลไม้ รวมๆแล้ว บรรยากาศไม่ต่างกับงานใหญ่ระดับประเทศเลย เอาเป็นว่า งานวิ่งของผู้จัดบางรายดูเป็นงาน อบต. ไปเลยทีเดียวละ

สิ่งนึงที่ต่างไปจากงานทางเชียงใหม่คือ “คนรู้จัก” ใช่ครับถ้าไปงานอย่าง โป่งแยงเทรล หรือ CM6 หรืองานเทรลอื่นๆส่วนใหญ่แล้วจะเจอคนคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่ตลอด เอาเป็นว่าแม้ไม่รู้จักแบบจริงๆจังๆ แต่ก็คุ้นหน้ากันพอที่จะยิ้มทักทายพูดคุยทั่วไปได้ เรียกว่างานรวมเพื่อนกลายๆก็ไม่ผิดนัก แต่งานนี้กลับไม่เจอคนที่รู้จักเลยส่วนใหญ่เป็นนักวิ่งเจ้าถิ่นในแถบนี้อยู่แล้ว โดยสังเกตจากภาษาและการแต่งตัว

เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้อยู่ในงานนานเท่าไหร่เพราะต้องรีบไปหาโรงแรมลึกลับในตำนาน และไปทำธุระต่อนิดหน่อย และต้องกินต้องรีบนอน

แน่นอนเราขับรถไปตาม Google map ที่บอกไว้ ในใจยังคิดว่า google street view อาจจะยังไม่ update ภาพที่เห็นใน street view อาจจะต่างจากปัจจุบันไปแล้ว สุดท้ายเราเลี้ยวเข้าซอยเล็กๆที่รถน่าจะต้องสวนกันแบบระมัดระวังมากและ ใช่เลย! ภาพที่เห็นตรงหน้า เหมือน street view เป๊ะๆ เราค่อยๆขับไปแบบเต่าคลานเพื่อมองหาที่ๆ อาจจะเป็นโรงแรมได้พลางพยายามโทรหาโรงแรมซึ่งไม่มีคนรับ

แว่บนึงเราเห็นสิ่งที่คล้ายๆ โรงแรมจึงขับเข้าไป เจอกับผู้ดูแลผู้หญิงผมแจ้งชื่อว่า ผมน่าจะจองไว้แล้วพี่คนดูและตอบกลับมาด้วยประโยคสุด indy ว่า

“โอ้ยย ไม่รู้ชื่อหรอก ยังไม่ได้จ่ายตังใช่ไหม? งั้นมีห้องว่างสองห้อง 450 กับ 500 เอาห้องไหน?” เอาวะถึงตรงนี้ไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าเป็นโรงแรมเดียวกันกับที่จองไว้หรือเปล่า เลยถามย้ำเพื่อความชัวร์ว่าที่นี่ใช่เบอร์ 075xxxxxx หรือเปล่า

ผู้ดูแลนิ่งไปครู่นึงก่อนจะตอบกลับมาว่า ไม่รู้ ผ่างงง!!! แต่จะเอาห้องไหม?

แน่นอนว่าวินาทีนั้น ยังไงก็ต้องหาที่ซุกหัวนอนไว้ก่อน เลยตกลงเอาห้องราคา 500

เอาเข้าจริงๆแล้ว โรงแรมปริศนาที่ว่านี้ก็ค่อนข้างดูดีอยู่นะ เป็นโรงแรมใหม่เตียง OK ห้องดี เพียงแต่มันมาอยู่กลางสวนยางดื้อๆเลยเท่านั้นแหละ ในที่สุดเราก็พยายามหารูปโรงแรมจาก internet แล้วสามารถ confirm ได้ว่ามันน่าจะเป็นโรงแรมเดียวกันจริงๆ และตอนขับรถออกไปก็พบว่าจริงๆแล้ว โรงแรมนี้ชื่อว่า “บายดีจัง รีสอร์ท” ซึ่งไปค้นชื่อนี้ใน google แล้วก็พบว่า นี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ google หาไม่เจอ…

OK การผจญภัยในวันแรกจบเพียงแค่นี้

ตัดภาพมา ตี 5 ที่จุดปล่อยตัว..

เช้านี้ค่อนข้างดีอากาศเย็นสบาย ที่ 23 – 24 องศาเซลเซียล เราเรียนรู้จาก UTMF มาว่าถ้ามีเขาเยอะๆให้ไปออกตัวอยู่หน้าๆ เพราะไม่งั้นจะเจอคนที่ขึ้นลงเขาช้าขวางทางทำให้เปลืองแรงมากกว่าที่จำเป็น ออกตัวไปได้ 100 เมตรเรื่องราวดีๆก็เกิดขึ้น คือถุงน้ำที่ใส่ไว้ที่เป้น้ำหล่น !!! เฮ้ยยยย วิ่งมาตั้งนานไม่เคยหล่น แถมมาหล่นหน้าจุดปล่อยตัว ทำให้ต้องค่อยๆวิ่งย้อนกลับ ฝ่าฝูงคนที่วิ่งออกตัวมาอย่างโหดไปหาขวดน้ำ

แค่เริ่มอันดับก็ลงไปอยู่ซัก 40 – 50 แล้ว …

กิโลเมตรที่ 1 – 12 

ช่วงแรกของสนามนี้ ไม่ค่อยมีอะไรมากส่วนใหญ่วิ่งไปบน ถนนดำและสวนยาง แต่จะว่าไปจะบอกว่าไม่มีอะไรมากก็ไม่ถูกนัก เพราะสวนยางนี่แหละที่เป็นสุดยอดปัญหาของคนทำสนามวิ่งเลย ในงาน Sea to Summit ที่ป๋าคมรัฐเคยจัดที่ทับสะแกก็เจอปัญหานี้คือ สวนยางมีลักษณะเป็น Grid คือเป็นตารางการจะให้วิ่งไปที่ไหนในตารางนี้จะต้องมีการบอกทางที่ดีมาก นั่นคือการผูกริ้บบิ้นต้องดีมากๆ ถี่มากๆ ซึ่งงานนี้ เท่าที่เจอมาถือว่าเป็นงานที่ผูกริ้บบิ้นได้โหดที่สุดเท่าที่เจอมา โหดที่ว่านี้คือผูกได้ ถี่มากๆๆๆ เรียกว่าในระยะ 3 – 10 เมตรจะมี ริ้บบิ้นอยู่ 1 อัน ลองคิดเล่นๆว่าสนามนี้ระยะทาง 41 กิโลเมตร จะต้องมีริบบิ้นทั้งหมดอย่างน้อย 800 – 1000 อัน!!!!

จุดให้น้ำในกิโลที่ 8 ทำได้ดี ปกติแล้วจุดให้น้ำจุดแรกมักไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ เพราะถือว่านักวิ่งเพิ่งวิ่งมา แล้ว 8 กิโลเมตรแรกก็ไม่ค่อยมีทางชันเท่าไหร่ด้วย แต่สำหรับที่งานนี้ ตั้งแต่จุดให้น้ำแรกก็มีทั้งเกลือแร่ และกล้วยด้วย เอาจริงๆตอนแรกแอบหนักใจว่าเอ้า เอากล้วยมาไว้ตั้งแต่จุดแรกหลังๆจะมีเหลือไหมหนะ แต่เอาเข้าจริงเรียกว่าอาหารน้ำท่าเหลือเฟือในทุก check point เลย จุดแรกผมกินกล้วยลวกๆไป 1 ลูกเติมเกลือแร่ในขวดนิ่ม 1 ขวด ตอนนี้ยังเจอเพื่อนๆ ระยะ 40 กิโลเมตรอยู่จำนวนมาก เรียกว่าวิ่งกันดีๆทั้งนั้น

กิโลเมตรที่ 12 – 15

มันคือภูเขา 2 ลูกแรก เขาลูกแรกขึ้นแค่ราวๆ 110 เมตรแต่…. มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น คือเขาลูกแรกเนี้ยะต้องบอกว่ามันไม่มีจุดพักเลยคือผ่านสวนของชาวบ้าน (เอาจริงๆคือผ่านกลางบ้านใครซักคน) แล้วขึ้นเขาเลยเขาระยะทางแค่ 600 เมตรแต่ชัน 110 เมตร ไปเทียบบรรญัติยางค์เอาเองแล้วกันนะ คือเอาเป็นว่าชันแบบที่ต้องตะกุยขึ้นอ่ะ ทางแบบดินมีหินนิดหน่อยให้พอเหยียบได้ มีต้นไม้ให้เหนี่ยวตัวได้นิดหน่อยแต่ไม่สบายเลย ส่วนตัวผมเองเป็นคนมั่นใจว่าเราขึ้นเขาได้ดีพอสมควรแต่มาเจอแบบนี้เข้าไปทำเอาหน้าเหยยิ้มแห้งๆกันเลยทีเดียว

แน่นอนว่าจบทางขึ้น 600 เมตรก็จะต้องเป็นทางลง ทางลงนั้นก็ไม่ได้สบายเสียทีเดียวแต่ยังพอวิ่งได้บ้าง แต่มีกิ่งไม้ต้นไม้ขวางอยู่ตลอด ทำให้ต้องยกขาสูงและกระโดดข้ามไม้บ้างเป็นบางครั้ง

แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ เราเริ่มหลง …. ใช่ครับ แม้ริบบิ้นจะถูกผูกถี่ไว้มากแค่ไหน แต่เส้นทางที่ถูกออกแบบไว้นั้นสลับซับซ้อนมากกว่ามาก คือมีหลายช่วงที่วิ่งตรงไปเรื่อยๆแล้วมีทางหักศอก เกิน 90 องศาเหมือนเปลี่ยนทิศวิ่งเลย ซึ่งถ้าไม่สังเกตุให้ดีต้องหลงอย่างแน่นอน และอุปสรรคอีกอย่างคือพื้นดินนั้นก็ไม่ได้เรียบนักมีอุปสรรคอยู่ตลอดทำให้ขณะวิ่งต้องทำสองอย่างตลอดคือ มองพื้นว่าเราจะเหยียบแบบไหนและมองข้างบน ซ้าย ขวาว่าริบบิ้นผูกยังไง เพราะถ้าพลาดลืมมองข้างหน้าไกลๆ ก็จะต้องหยุดเพื่อมองหาริบบิ้น ถ้ามองข้างหน้าแต่ไม่ได้มองพื้นก็จะสะดุดกับอะไรบางอย่างบนพื้น

ประกอบกับสวนยางนั้นจะมีใบไม้กองอยู่เต็มพื้นหนาทำให้เราเดาไม่ออกว่าใต้ใบไม้นั้นคืออะไรกันแน่ มันจะมีก้อนหินไหม มันจะมีหลุมไหม ทำให้การวิ่งต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง ผมเองมีขาแพลงไปเบาๆอยุ่ สองสามรอบ ทำให้ไม่สามารถทำความเร็วได้เต็มที่เพราะต้องระมัดระวังอยู่ตลอดเป็นความแอบเครียดอยู่เล็กๆ

ภูเขาลูกที่สองไม่โหดร้ายเท่าลูกแรกมีขึ้นๆลงๆบ้าง ทางลงเขาตรงนี้จะเจอวิวเปิดอาจจะวิวเดียวในสนามนี้ที่ค่อนข้างสวยแสงแดดกำลังดีผมมีแวะถ่ายรูปนิดหน่อย ถึงตรงนี้ยังทำเวลาเผื่อเอาไว้ได้เยอะพอสมควร

คือต้องอธิบายแบบนี้ เนื่องจากรอบนี้ผมเตรียมตัวมาค่อนข้างน้อยมากก ดังนั้นเรื่องแผนวิ่งต่อความชันหรือต่อระยะทางนี่ไม่มีเลย แต่คิดง่ายๆว่า (ซึ่งเอาจริงๆ ผมก็เพิ่งมาคิดระหว่างที่กำลังวิ่งในสนามนี่แหละว่า ระยะทาง 40 กิโลเมตร ถ้าเฉลี่ยง่ายๆว่า กิโลเมตรนึงใช้ 10 นาทีก็จะใช้เวลา 400 นาที มันคือ 6 ชั่วโมง 40 นาที เผื่อเหลือเผื่อขาดไว้นิดหน่อย งั้นตั้งธงไว้ที่ pace 10 แล้วกันง่ายดี) ซึ่งที่จุดให้น้ำที่สองนี้ ผมเพิ่งใช้เวลาไปแค่ 2:02 ชั่วโมงเท่านั้นเองซึ่งผมยังมีเวลาทดไว้ได้อีกตั้ง ครึ่งชั่วโมง หรือคิดเป็นตั้ง 3 กิโลเมตรแหนะสบายๆ ซึ่งอันนี้คือคิดผิดอย่างมาก

ที่จุดให้น้ำที่สองก็เหมือนเดิมคือมีเจ้าหน้าที่คอยซัพพอร์ตเรามากมาย และสิ่งที่วิเศษสุดๆเทียบเท่ากับที่มีในงานระดับโลกอย่าง HK100 คือ โค๊ก ใช่แล้ว โค๊กกกกก ไม่ใช่โค๊กธรรมดาด้วยเพราะเป็นโค๊กใส่น้ำแข็ง คือมีทั้งแบบใส่น้ำแข็งและแช่ในถังน้ำแข็งไว้ โอววววนี่แหละ สวรรค์

ที่จุดให้น้ำที่สองเราเริ่มเจอกับนักวิ่งทั้ง 25 กิโลเมตรและ 10 กิโลเมตรมาปนๆกันบ้างแล้ว ผมจัดการเทโค๊กเข้าปากไป 2 ขวดนิ่มและพกไปอีก 1 ขวด พร้อมกล้วยอีก 1 ลูก

กิโลเมตรที่ 15 -23

ก้มมองไปยัง BIB ซึ่งมีกราฟความชันอยู่ “เมื่อกี้มันแค่วอร์มอัพนี่หว่า” หลังจากออกจากจุดให้น้ำที่สองไปได้ราวๆกิโลเมตรกว่าๆ ก็จะไปเจอกับทางเข้าน้ำตกเขาคราม ตรงนี้ต้องบอกว่านักวิ่งทั้ง 25 และ 10 กิโลเมตรเยอะมากก ทำให้ต้องต่อคิวเดินทำความเร็วไม่ค่อยได้ เพียงแค่ไม่กี่ร้อยเมตรเราก็เจอกับน้ำตกเขาคราม ซึ่งสวยมาก และมีตากล้องรออยู่มากมาย คอยถ่ายรูปให้นักวิ่งที่จะมาถ่ายกับน้ำตก ซึ่งผมทำได้แค่แวะกดรูปไปรูปเดียวอย่างลวกๆ ด้วยความกังวลที่เห็นนักวิ่งจำนวนมากกำลังทยอยต่อคิวขึ้นเขา

“คือถ้าต้องต่อคิวแบบนี้มีหวังไม่ทันแน่นอน” ผมเลยค่อยๆพยายามแซงไปทางอื่น “เพราะป่าใต้คือป่าใต้” สันเขาทั้งหมดไม่ว่าทางไหนจะนำเราขึ้นสู่ยอดเสมอ ผมเลยใช้วิธีแบบนี้แซงคนไปได้จำนวนมาก พร้อมอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงขึ้นปรี้ดๆด้วย เอาจริงๆช่วงนี้ถือว่าชันแต่ไม่เท่าลูกแรก ผมคิดในใจแค่ว่าไม่ว่ายังไงก็ห้ามหยุดระหว่างทาง อาศัยก้าวไปเรื่อยๆ แต่ต้องบอกว่าช่วงนี้จะเจอกับนักวิ่ง 25 กิโลเป็นจำนวนมากจริงๆ ทำให้ไม่สามารถทำเวลาได้ จะขอไปก่อนเราก็เกรงใจๆ เพราะเส้นทางเป็น single track เสียเป็นส่วนใหญ่ ตรงนี้เราเริ่มข้ามน้ำแบบจริงๆ จังๆ หลายครั้งมาก คำว่าจริงๆจังๆ ที่ว่าคือเอาตัวลงไปในน้ำเลยหัวเข่าอ่ะ ก่อนจะมางานนี้มีคนบอกแล้วว่ามีข้ามน้ำหลายแห่ง แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่า ไอ้คำว่าหลายแห่งที่ว่ามันคือจะเยอะขนาดนี้ เอาเป็นว่านับได้เกิน 10 แล้วเลิกนับไปเลยละ

แถวนี้ยังไม่มี Highlight อะไรมาก ขึ้นเขาชันแต่ไม่ชันมาก ซึมๆ แต่ก็ทำให้หอบได้อยู่เรื่อยๆ

กิโลเมตรที่ 23 – 31

ในจุดให้น้ำที่สาม แยกไทรทอง ผมใช้เวลาไป 3:35 ชั่วโมง เรียกได้ว่าเวลาที่ผมทำเผื่อไว้ในตอนแรก หายไปเหลือแค่เพียง 15 นาทีเท่านั้น ตรงจุดนี้มีอาหารบริการซึ่ง ข้อดีคือมีอาหารหลากหลายมาก ไม่ได้มีแค่อย่างเดียวให้เลือก มีทั้งบะหมี่ผัด ข้าวราดไก่ชุ่มๆ และอะไรอีกซักอย่าง เอาเป็นว่าต้องคิดว่าจะกินอะไรดีแล้วกัน และแน่นอน จุดนี้ก็มีโค๊กเหมือนเดิม ผมจำได้คร่าวๆว่ากินข้าวไปกล่องนึง กินโค๊กไปราวๆ 2 – 3 ขวดนิ่มและใส่ขวดนิ่มไปอีก 1 ขวด

ผมก้มมองดูที่ BIB ภูเขาลูกถัดไปเราต้องเจอความชันราวๆ 220 เมตรและระยะทาง 2 กิโลกว่าๆ ซึ่งตอนนี้ต้องบอกว่าเชื่อใจอะไรไม่ได้เลย คือแม้ความชันเท่าที่ผ่านมาจะดูไม่เยอะแต่เอาเข้าจริงเดินลำบากมาก เพราะมันไม่ได้เป็นเส้นทางโล่งๆ เส้นทางมีอุปสรรคให้ต้องข้ามไม้ มุดลอด แกะรอยหาริบบิ้นกันมาก

แต่จุดที่ต้องชมอีกอย่างของเรซนี้คือ BIB นี่แหละที่แสดงแผนที่ได้ชัดเจนแบบสามารถเอามาใช้ได้จริงๆ คือก้มมองแล้วบอกได้เลยว่าเราต้องเจอกับอะไรแล้วอ่านรู้เรื่อง อาจจะด้วยระยะทางไม่ไกลมากสามารถใส่เข้ามาได้ BIB ได้อย่างสวยงามและใช้ได้จริงๆ

ผมแวะกินนิดหน่อยเอาหินออกจากรองเท้า (หินมาจากการเดินข้ามน้ำ เอาจริงๆสนามนี้ถ้ามี Gaiter หรือตัวกันหินเข้าใส่มาก็น่าจะดีนะ) หลังจากที่อดทนมาเป็นสิบกิโล กลัวว่าเท้าจะแหกไปก่อนเลยมาเอาออกที่นี่

ผมใช้เวลา 45 นาทีเพื่อเอาตัวเอาไปจุดสูงสุดด้วยระยะทางเกือบๆ 3 กิโลจะว่าไปก็ไม่เลวเลย ทางขึ้นไม่ได้ยากอย่างที่คิดที่เหลือเป็นทางลงน่าจะทำเวลาได้ แต่ปรากฏว่าผมคิดผิด ทางลงส่วนใหญ่ถ้าไม่ รกจนวิ่งแทบไม่ได้ก็สลับซับซ้อนจนหลงตลอดเวลา แถวๆนี้เราหลงไปสัก 4 – 5 รอบได้ เป็นการหลงแบบ นิดๆหน่อยๆ แต่ก็ทำให้เสียเวลามาก เพราะต้องหยุด ต้องตัดสินใจ และต้องเดินย้อนกลับไปมองหา ริบบิ้นอีกรอบ ทำให้ระยะทาง 5 กิโลผมใช้เวลาไป 1 ชั่วโมงเต็มๆ กับทางลง

ถึงจุดให้น้ำที่ 4 ลานหินปูผมใช้เวลาไป 5 ชั่วโมง 10 นาทีคือตรงตามผานมั่วๆ ของผมเป๊ะๆ ซึ่งทำให้ความหวังทั้งหมดพังทลายลงแล้วแน่ๆ เพราะเมื่อก้มมองดู BIB พบว่าเรายังเหลือภูเขาอีก 2 ลูกแหลมๆ แหลมๆที่ว่าคือมันชันมากๆๆ ลูกแรกดูเล่นๆคือความชันราวๆ 230 เมตรแต่ระยะทางเพียง 1.3 กิโล ลูกที่สองก็ใกล้ๆกัน

กิโลเมตรที่ 31 – 39

จากนี้เริ่มเป็นทางแยกระหว่างระยะ 40 กับ 25 กิโลเมตรแล้ว ตอนนี้ได้ติดกับน้องอีกคนนึงที่มาจากสมุยไปด้วยกัน พอแก้เหงาไปได้เส้นทางตรงนี้น่าจะโหดเกือบจะที่สุดในสนามนี้แล้ว คือเป็นทางชันที่ชันแบบกำลังไต่เขาที่ไม่มีคนเดินอ่ะ (คือปกติถ้าภูเขามีคนเดินมันจะมีทางเลาะๆ ราบบ้างชันบ้าง) แต่นี้คือมันชันตรงขึ้นไปบนฟ้าแบบแหงนมองแล้วเห็นปลายทางอยู่ลิบๆ แล้วเส้นทางรกมากๆ มากเท่าๆกับการเดินป่าแบบสำรวจเลยทีเดียว คือเราต้องมุดต้องลอด ต้องเหนี่ยวตัวเองขึ้นไปข้างบน หลายๆครั้งตอนคลาน 4 ขาเพื่อตะกุยเอาตัวเองขึ้นไป ซึ่งในงานนี้ผมไม่ได้เอา เทรคกิ้งโพลไปด้วยเพราะคิดว่าไม่อยากโหลดเพิ่มตอนบินไปกลับ และไม่น่ายากเท่าไหร่ แต่ในสนามนี่คิดถึงโพลมากมายจริงๆ

ถึงตรงนี้คิดอยู่หลายอย่างตั้งแต่ 1. คนทำสนามแม่งซาดิสม์วะ 2.ป่าสวยดีถ้ามีเวลาค่อยๆไปน่าจะดี ปัญหาคือต้องรีบกลับไปเช็คเอ้าท์นี่สิ เลยทำให้สนามยิ่งยากเข้าไปกันใหญ่ ผมใช้เวลา 35 นาทีไปยังจุดสูงสุดของเราลูกแรกซึ่งเท่ากับว่าแผน 7 ชั่วโมงของผมเป็นไปไม่ได้แล้ว แล้วถ้าคิดว่าทางลงง่ายก็คงเป็นเรื่องผิดแน่นอนเพราะทางลงเต็มไปด้วยรากไม้เล็กๆทำตัวเหมือนบ่วงดักสัตว์ ดักให้ขาเราสะดุดตลอดเวลา และที่เป็นอุปสรรคกับผมมากคือมันจะมีช่วงหนึ่งที่ต้องเดินตามน้ำตกไป ซึ่งน้ำตกที่ว่ามันคือหินน้ำตกที่ผมไม่สามารถเดินได้เลย เนื่องจากรองเท้าที่เลือกมาใช้ใน race นี้เป็น Altra Superior รุ่นแรก ซึ่งมันเป็นดอกหนามที่ไม่สามารถเกาะหินได้เลย ถึงต้องนี้ผมต้องคลานสี่ขาไปเกือบตลอดทางจนต้องให้คนข้างหลังแซงไป 2 -3 คน อีกอย่างรองเท้าที่เลือกมามันเก่ามาก ทำให้มันเริ่มขาดแล้ว การจะกระชากอะไรแรงๆนี่ต้องคิดตลอดว่าถ้ามันขาดเราจะไปต่อยังไงในป่าแบบนี้ ทำให้ต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆไป และมีมากกว่า 1 รอบที่สะดุดเอาอะไรซักอย่างแล้วเจ็บมากๆ ที่นิ้วโป้ง เพราะตัวป้องกันนิ้วของรองเท้ามันหลุดไปแล้ว หลุดไปตอนไหนก็ไม่รู้ ฉะนั้นตอนนี้รองเท้าที่ใส่มันคือ Vibram Five Finger version Altra เพราะสิ้นการปกป้องอะไรทั้งหมดให้เราได้เลย

หลังจากคลานไปช้าๆ นานเท่าไหร่ไม่รู้จนกระทั่งเจอกับเจ้าหน้าที่ ก็ได้หยุดคุยกันนิดหน่อยผมถามถึงหินน้ำตกซึ่งเจ้าหน้าที่แจ้งว่าไม่มีแล้ว ทำให้ผใจชื้นได้อีกหน่อย

ภูเขาลูกที่สุดท้ายก็ยากเท่าๆกับลูกก่อนหน้าเส้นทางยิ่งไปยิ่งรกขึ้น ยิ่งหลงขึ้นหลายๆครั้งเห็นริบบิ้นแล้วนึกไม่ออกว่าจะไปยังริบบิ้นนั้นด้วยวิธีธรรมดาๆยังไง ต้องตะกุยข้ามเขากันเลยทีเดียว

ป่าแถบนี้ค่อนข้างสมบูรณ์และสวยงามตามแบบป่าใต้จริงๆ เอาเข้าจริงแล้ว แค่มาเดินๆ เอา 2 ลูกสุดท้ายก็น่าจะพอแล้วนะ ไม่ควรมาไกลถึง 40 กิโลเมตรเลย ฮ่าๆๆ

อากาศเริ่มร้อนขึ้นผมเริ่มกินน้ำมากขึ้น ราวๆกิโลเมตรที่ 38 น้ำผมที่เตรีมมาหมดเกลี้ยงในใจคิดว่า แค่กิโลเดียวถึงสบายๆ แต่ก็คิดผิดอีกแล้วววว

ช่วงหลังๆแม้ว่าเส้นทางจะเริ่มงานขึ้นและสามารถวิ่งได้ ตอนนี้ผมวิ่งอยู่คนเดียวแล้วมองไปข้างหลังไม่เห็นใครไม่ได้ยินเสียง มองไปข้างหน้าก็ไม่เห็นใคร ไม่ได้ยินเสียง ผมกึ่งเดินกึ่งวิ่งหวังจะปถึง จุดให้น้ำสุดท้ายเร็วๆกินน้ำนิดหน่อยแล้วไปต่อ แต่ปรากฏว่าในนาฬิกาผมระยะทางไปจน 40 กิโลแล้วยังไม่เจอกับจุดให้น้ำเลย คิดแบบนั้นสติก็กลับมา เฮ้ย เราหลงแล้ว เส้นทางไปยังเส้นชัยจะต้องเลี้ยวหักศอกตรงถนนปูนที่หนึ่งซึ่งผมวิ่งตามถนนลงมา ใช่ครับ ลงมาแปลว่ากูต้องขึ้นกลับไป ตอนนั้นมีหัวเสียนิดหน่อยเพราะอีกนิดเดียวจะถึงแล้วทำไมมาพลาดแบบนี้ แถมยังต้องเดินขึ้นเขาไปอีก น้ำก็หมด แถมทางเดินยังเป็นสวนยางให้งงเล่นอีกต่างหาก

สรุปผมเจอจุดให้น้ำที่กิโลที่ 42 กว่าๆ ใช้เวลาไป 7 ชั่วโมงครึ่ง จุดสุดท้ายผมกินน้ำไปอึกนึงได้ปีโป้ไปอีก 1 ชิ้นแล้วก็วิ่งเหยาะๆเข้าเส้นชัย ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ก็คอยหลอกตลอด มีตั้งแต่ 900 เมตร 500 เมตร 400เมตร ซึ่งไม่มีจริงสักอัน ฮ่าๆๆ ราวๆ 2 กิโลกว่าๆ ก็ถึงเส้นชัย ช่วงสุดท้ายมีแต่ถนนเรียบๆ ไม่มีอะไรหวือหวามาก

สรุปเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 7ชั่วโมง 49 นาทีผิดจากที่คิดไปตั้ง 49 นาที รับเสื้อรับเหรียญแล้วก็ตรงดิ่งไป เช็คเอ้าทันที

 

สรุปสนาม

  1. สนามซัพพอร์ตดีมากกก อาหารเพียบพร้อมเกลือแร่อร่อยโครต มีโค๊กเย็นๆซึ่งสมบูรณ์แบบมาก ซึ่งเอาเข้าจริงยังไม่รู้เลยว่ายี่ห้ออะไร คือดีในระดับประเทศเลยละ อาจจะเพราะระยะทางไม่ไกลมาก และจุดให้น้ำสามารถเอารถเข้าถึงใด้และความเป็นคนใต้ที่น้ำจิตน้ำใจเหลือเกินจริงๆ คือผ่านไปตามทางก็โดนชวนกินอยู่เรื่อยๆ เหมือนไม่มีใครขเม่นเราที่มาวิ่งผ่านบ้านเค้าเลย คือผู้จัดทำการบ้านมาดีมาก
  2. ตัวเนื้อสนามดุมากก สนามนี้ผมได้แผลกลับบ้านเป็นสิบแผล ทั้งหนามข่วน หินบาด อะไรก็ไม่รู้บาดเต็มไปหมด ตอนอาบน้ำที่อย่างแสบ ความชันที่เห็นเชื่ออะไรไม่ได้เลย คือมันเทคนิคเคิลมาก เอาเป็นว่ามากกว่าตระนาวศรีเลยละ ควรใช้เทรดกิ้งโพลให้ถนัดด้วย ไม่งั้นเป็นภาระแน่ๆ
  3. ข้ามน้ำเยอะมาก นึกว่ามาเดินป่าเล่นน้ำ คือถ้ารู้ว่าเยอะขนาดนี้จะเอารองเท้าแบบอื่นมา ฮ่าๆ
  4. สนามสวยเป็นบางช่วง คือต้องบอกว่าส่วนใหญ่ของสนาม ราวๆ 60 – 70% เป็นสวนแต่ส่วนที่เป็นป่าก็เป็นป่าจริงๆ สวยมาก
  5. ริบบิ้นเยอะมาก น่าจะเยอะที่สุดเท่าที่เคยเห็นในชีวิตแล้ว คือทุกๆ 5 เมตรต้องมีอะ แต่ก็ยังหลงเพราะเส้นทางซับซ้อนมาก ควรมีป้ายเพิ่มในจุดที่หักศอกมากๆ
  6. BIB ดีมากคืออันนี้เป็นประเด็นที่ผมพูดบ่อย BIB ติดตัวนักวิ่งควรเป็นสิ่งที่มีประโยชน์กับนักวิ่งด้วย ไม่ใช่เป็นประโยชน์กับคนจัดอย่างเดียว สนามนี้ทำแผนที่ BIB ให้สามารถพลิกมาดูเส้นทาง จุดให้น้ำ ความชันคร่าวๆที่อ่านแล้วรู้เรื่อง อ่านไปเดินไปได้ ไม่ตาลาย ถือว่าดีสุดๆ
  7. ระยะทางค่อนข้างตรงถ้าไม่หลงนะ ขาดไปนิดหน่อย แต่ถ้าหลงก็เกิน 3 กิโลแบบผมได้เหมือนกัน
  8. เสื้อเนื้อผ้าดีออกแบบสวย งานดูมีคลาสมาก
  9. เอาเป็นว่าใครชอบดุๆ ซาดิสม์ๆ ป่าสวยๆ เผื่อเวลาไว้หน่อย แล้วมาเดินๆ วิ่งๆรับรองสนุก นี่ผมเองดันรีบไปเลยเหนื่อยหน่อย เป็นสนามที่โหดแต่ดีจริงๆ

 

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s