หมดไฟหรือ Burnout กลายเป็นคำธรรมดาๆของคนในยุคเราไปเสียแล้ว โดยเฉพาะวัยกลางคน
ผมเองก็ประสบกับภาวะหมดไฟอยู่บ่อยๆ อาการก็มีตั้งแต่ ไม่อยากทำอะไร, รู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า, เหนื่อยง่าย, หมดแรง, หงุดหงิด, ไม่มีสมาธิ สิ่งบันเทิงเดิมๆก็ช่วยได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราว พอหายก็อาจจะวนกลับมาเป็นได้ใหม่ อาการนี้ไม่ได้ส่งผลแต่กับงานที่เราทำเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อการใช้ชีวิตด้วย
อาการ “หมดไฟ” ยังไม่ใช่โรคยังไม่ต้องไปหาหมอแต่แน่นอนว่ามันบั่นทอนชีวิต และประสิทธิภาพในการทำงานของเราอย่างมาก ปัญหาใหญ่คือเราจะหลุดออกจากอาการ “หมดไฟ” ที่ว่านี้ไปได้ยังไง
จะมองหาทางออกได้ก็อาจจะต้องเข้าใจที่มาของมันให้ได้ก่อน…
อาการ “หมดไฟ” โดยทั่วไปเท่าที่สัมผัส มักมาจากการที่เราขาด “แรงกระตุ้น“, “การมีคุณค่า” และ “ความหวัง” ทั้งสามอย่างนี้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยแต่มันสัมพันธ์และสนับสนุนกันเป็นอย่างมาก
แล้วทำยังไงให้เราหลุดจากอาการหมดไฟละ?
ง่ายมาก!
หาเป้าหมายให้ได้ !
การขาดแรงกระตุ้น หรือการไร้คุณค่าหรือความหวังนั้น มักเกิดจากการการขาดซึ่งเป้าหมาย…
หลายๆคนอาจจะเถียงว่าไม่จริง
“นี่ก็มีเป้าหมายอยู่ทุกวัน หัวหน้ามอบเป้าหมายให้มาทุกวัน ทุกเดือน ทุกไตรมาส”
งั้นลองถามตัวเองดูว่าเป้าหมายของคุณมีลักษณะอย่างนี้ไหม?
- เป้าหมายนั้นมีค่ากับเราไหม? คำว่ามีค่ากับเราคือเราทำแล้วเรารู้สึกว่าตัวเองมีค่า ทำแล้วทำให้เราสามารถดำรง Self esteem หรือความภาคภูมิใจในตนเองเอาไว้ได้
ข้อนี้สำคัญมากหากเราไร้ซึ่ง self esteem แล้วโอกาสที่จะได้ปัจจัยในการมีชีวิตที่มีความหวัง หรือมีแรงกระตุ้นได้ย่อมน้อยมาก - เป้าหมายนั้นต้องเป็นไปได้จริงและมีความหวัง นี่เป็นปัญหาใหญ่ของวัยกลางคนที่มองเห็นความจริงว่าเราอาจจะไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันความสำเร็จที่เคยฝันในวัยรุ่นได้ และเข้าใจความเป็นไปที่แท้จริงของโลกเน่าๆนี้และทำให้เกิดอาการหมดไฟได้ เราอาจจะเลือกตั้งเป้าหมายใหม่ที่อาจจะไม่เกี่ยวกับงานและเป็นไปได้จริงก็ได้
- เป้าหมายนั้นต้องมองเห็นความก้าวหน้าได้ แม้ว่าเป้าหมายนั้นจะเป็นระยะไกลแค่ไหนเราก็ต้องหั่นมันออกมา ทำให้วัดผลได้ มองเห็นว่าเรากำลังก้าวหน้าได้
ถ้าเป้าหมายของเราไม่ตรงแม้ข้อใดข้อหนึ่งเราก็มีโอกาสที่จะหมดไฟได้ แน่นอนเมื่อเรารู้ตัว เราก็ต้องตั้งหลักมองหาเป้าหมายใหม่แล้วเท่าที่เจอตอนมองหาเป้าหมายแค่หามันได้ ก็ทำให้เรากลับมามีชีวิตชีวาขึ้นมาได้แล้ว
และสุดท้ายเราอาจต้องเผื่อใจว่า เป้าหมายนั้นจะไม่สำเร็จ หรือไปไม่ถึงฝั่งฝันแต่ระหว่างทางอย่างน้อยเราก็ยังได้ไฟในการดำเนินชีวิตกลับมา และไม่แน่ประกายไฟเล็กๆนั้นอาจไปช่วยจุดให้เราสามารถทำเรื่องอื่นๆในชีวิตได้ต่อก็เป็นไปได้