เรื่องมันเกิดขึ้นราวๆ 2 เดือนก่อน คุยกับพี่ที่ทำงานเรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นในสังคม
จู่ๆพี่ท่านนั้นก็โพล่งขึ้นมาว่า
“ผมนึกออกแล้วว่าบ้านเราขาดอะไร บ้านเราขาดการ Maintenance นี่เอง..”
หลังจบประโยค ในหัวผมมีเหตุการ์ณมากมายพลั่งพรูเข้ามาเต็มไปหมด
“เดี๋ยวผมเอาไปเขียนลงบล็อคนะครับพี่” ผมบอกไว้
ผ่านไป 2 เดือน…
ทุกอย่างเหมือนจะเลือนลางหายไปหมดแล้ว แต่เหตุการณ์ที่ผ่านมาในช่วงเวลานี้กลับย้ำเตือนให้นึกถึงคำนี้ขึ้นมาได้อีก
“เราขาดการ Maintenance… “
maintenance ถ้าแปลเป็นไทยคือการซ่อมบำรุง ถ้าแปลไทยเป็นไทยอีกทีมันคือการที่เราหยุดพักกิจกรรมบางอย่างแล้วดูแลมันซ่อมแซมมัน
ในสายงานที่ผมทำงาน (และคาดว่าสายงานอื่นๆก็ไม่ต่างกัน)
การ Maintenance นั้นดูเป็นกิจกรรมที่ล้นเปลืองและไม่สำคัญ
เราให้ความสำคัญกับความสามารถในการให้บริการได้ตลอดเวลา (Availability) มากกว่า และมองว่าการ Maintenance นั้นเป็นการเผื่อเกินกว่าเหตุ เป็นกิจกรรมที่มีแต่จะลด availability ลง
ทำไมเราต้องหยุดพักคอมพิวเตอร์ทั้งๆที่มันสามารถเปิดได้ 24 ชั่วโมง
ทำไมเราต้องปิดมือถือ ก็คุ้นเคยกับการที่มันต้องเปิดตลอดนี่
ทำไมเราต้องหยุดเครื่องจักร มันยังทำงานได้อยู่เลย
ทำไมเราต้องพักผ่อนทั้งๆที่เรายังไหว….
ลองมองย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ร้ายแรงทั้งหลายในโลก ความเสียหายครั้งยิ่งใหญ่ล้วนเกิดจากต้นเหตุง่ายๆที่เราไม่ยอมใส่ใจและให้เวลา “ซ่อมบำรุง” กับสิ่งต่างๆที่เราใช้งาน
ถนนที่ไม่เคยถูกซ่อมบำรุงกลายเป็นพื้นผิวดาวอังคาร
รถไฟฟ้าที่ละเลยการซ่อมบำรุงมีข่าวเสียรายวัน
ร่างกายและจิตใจของคนเราก็เช่นกัน…
ในแผนการซ้อมกีฬาทั้งหลาย ช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดที่ต้องใส่ใจมันไม่ใช่การซ้อมอย่างเดียว แต่เป็นการพักและการกินเพื่อเข้าไปซ่อมแซมให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นกว่าเดิม
การพัฒนาการวิ่งให้เร็วขึ้นไม่ใช่การตะบี้ตะบันวิ่ง แต่เป็นการรู้ว่าเมื่อไหร่ควรหยุดและเมื่อไหร่ควรยืดเหยียด
และแน่นอนในเวลาที่เราเครียดที่สุดและหาทางออกไม่พบ หนทางที่ดีที่สุดคือการหยุดพักและปล่อยให้จิตใจของเราซ่อมแซมเช่นเดียวกัน