คุณเอาอะไรใส่ไว้ในกระเป๋าบ้าง?
นี่เป็นประโยคที่ จอร์จ คลูนีย์ที่รับบทเป็นตัวเองในภาพยนต์เรื่อง Up in the Air (2009) พูดอยู่หลายครั้งตอนขึ้นพูดให้แรงบันดานใจคนอื่น

ย้อนกลับไปปี 2009 ที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรก ตอนนั้นจำได้ว่าเป็นหนังฟอร์มใหญ่มาก มีโฆษณาเยอะและเสียงตอบรับค่อนข้างดี แต่ตอนที่ได้ไปดูจริงๆกลับพบว่าหนังค่อนข้างจืดชืดและเต็มไปด้วยโฆษณาแฝงแบบโต้งๆ จนรู้สึกหงุดหงิดพอสมควร และส่วนตัวไม่มีอะไรเชื่อมโยงกับตัวหนังเลย เป็นหนังที่จืดชืดสิ้นดี….
แต่พอเวลาผ่านไปเมื่อได้กลับมาดูอีกครั้งความรู้สึกที่มีต่อตัวหนังกลับเปลี่ยนไปอย่างมาก ทุกอย่างที่อยู่ในหนังดูเชื่อมโยงกับตัวเองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง ความสัมพันธ์ การทำงาน การใช้ชีวิต
เนื้อหาข้างล่างมีสปอยด์แน่ๆ แต่หนังมันเก่าแล้วให้เรา สปอยด์เถอะ !
ตัวเอกมีอาชีพเป็นคนที่ต้องบินไปบินมาเพื่อบอกเลิกจ้างพนักงานในบริษัท ด้วยหน้าที่การงานแบบนี้ทำให้แทบไม่อยู่ติดบ้านการเดินทาง ห้องในโรงแรม สายการบินกลายเป็นบ้านสำหรับเขา
และแน่นอนว่าสิ่งหนึ่งที่เป็นอุปสรรคสำหรับงานแบบนี้คือ “ความสัมพันธ์” ….
ไม่ว่าด้วยงานที่ต้องบอกเลิกจ้างผู้คน ทำให้ต้องเผชิญกับความเศร้าและผิดหวังของคน ไม่ว่าจะด้วยงานที่ต้องเดินทางคนเดียวไปมาตลอดเวลา “ความสัมพันธ์” กลายเป็นภาระที่เขาไม่เคยเอาใส่กระเป๋าติดตัวไปเลย
“มันเบาและสบายเมื่อไม่ได้เอาสิ่งหนักอึ้งนั้นใส่ลงในกระเป๋า”
เขาบอกกับผู้คนที่เข้ามาฟังเขาพูดแบบนั้น และเขาก็คิดแบบนั้นจริงๆ!
แต่แล้วด้วยเวลาที่ผ่านไป โชคชะตากลับเล่นตลกให้เขาได้พบกับเด็กสาวที่ยึดติดกับความสัมพันธ์ และต้องการเข้ามาเอาเทคโนโลยีมาทำให้เขาไม่ต้องเดินทางไปมาเพื่อบอกเลิกจ้างใครอีกต่อไป
เรียกว่าเป็นขั้วตรงข้ามเขาอย่างแท้จริง …
ยังไม่พอ ระหว่างนั้นตัวเอกกลับพบเจอกับใครบางคนที่เป็น “ภาระ” ที่เขาอยากพกพาไปด้วย
ใครบางคนที่คล้ายๆกับเขา ใครบางคนที่เขาพร้อมจะแบกไปในกระเป๋า
แน่นอนว่าโชคชะตาไม่ได้ทำให้เรื่องง่ายแบบนั้น มันกลับเหวี่ยงหญิงสาวที่เขาอยากมีสัมพันธ์ด้วยออกไปไกลด้วยการที่เขาพบความจริงว่า ในอีกมุมหนึ่งหล่อนมีสามี มีลูกมีครอบครัวที่อบอุ่น
บัดนี้เขาเองต่างหากที่กลายเป็น “ภาระ” ที่หล่อนไม่อยากเอาใส่กระเป๋าไปด้วย…
ตัวหนังส่วนใหญ่พูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ด้วยโทนหนังอุ่นๆ ที่ชวนให้นึกถึงใครซักคน
แต่ในสมัยนั้นผมสัมผัสมันไม่ได้แม้เพียงนิด สำหรับตัวผมเองในตอนนั้นแล้ว “ความสัมพันธ์” ก็คือภาระอย่างหนึ่งที่อยู่ไกลจนกระทั่งเราไม่อาจรู้สึกได้ว่ามีด้วยซ้ำ อย่าว่าจะเลือกเอาใส่กระเป๋าไปเลย
แต่พอเวลาผ่านไปสิ่งที่เคยเป็นภาระกลับกลายเป็นสิ่งที่มีค่า น้ำหนักที่เราแบกกลับไม่ใช่ปัญหาเลย ปัญหาอยู่ที่ภาระที่ว่านั้นบัดนี้กลับว่างเปล่า
ในตอนจบ จอร์จ คลูนีย์ ตัวเอกของเรื่องเลือกกลับไปเดินทางยังเส้นทางเดิมๆ แต่ด้วยบทเรียนที่เขาเรียนรู้เพิ่มเขาเลือกเส้นทางใหม่ๆเพิ่มเข้าไปให้ตัวเองและคนรอบข้าง ตัวหนังเองไม่ได้สรุปอะไรอย่างตายตัวเพราะเรื่องของความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคล จึงได้แต่ทิ้งทางเลือกนั้นเอาไว้ให้คนดูสรุปด้วยตัวเอง
สุดท้าย Up in the Air กลายเป็นหนังที่ดูรอบสองแล้วได้อารมณ์ที่ต่างจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิงจริงๆ