เรื่องราวมันเริ่มต้นในห้อง chat เล็กๆแห่งหนึ่ง….
ก็เหมือนปกติที่ กลุ่มนักวิ่งคุยกันถึงเรื่องงานวิ่งที่เกาะฮ่องกง
ตัวผมเองเคยได้ยินชื่อเสียงมาบ้างในนามงานวิ่งเทรลระดับโลกที่มีการจัดการดีที่สุดที่หนึ่ง และมีนักวิ่งระดับแนวหน้ามาอย่างล้นหลามและบันไดนับหมื่นขั้นที่ต้องผ่านไป
แน่นอนปกติผมเป็นคนที่ไม่ค่อยหาเรื่องใส่ตัว ก็มักจะปฏิเสธไปแน่ๆ ยิ่งกับบันไดนี่ยิ่งแล้วใหญ่
“มันเป็น lotto ได้ไม่ได้ค่อยรู้กันอีกที” พี่คนหนึ่งในห้องแชทบอก
” วันนี้วันสุดท้ายแล้ว” ด้วยแรงกาวมึนๆ รู้ตัวอีกทีกด lotto ไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยความรู้สึกแบบว่า
“ไม่น่าจะได้ lotto หรอก“
อ๋องาน HK100 นี่แปลกอยู่อย่างคือไม่ว่าจะได้ lotto หรือไม่เราต้องจ่ายเงินเป็นการกุศลก่อน 100 HKD หรือราวๆ 400 บาทไทย
4 วันถัดมา….
วันประกาศผลสุ่มความทรมานบันเทิง
แน่นอนคนที่ป้ายกาวมาล้วนชวด lotto เหลือผมและนักวิ่งแนวหน้าอย่าง Mike ที่ได้ไปต่อ
ก่อนจ่ายเงินมีของให้ shopping อย่างมากมายราคาค่อนข้างแรงแต่ถ้าถือว่าเป็นของสะสมนี่ก็คุ้มมากๆ
ที่เหลือคือนับวันรอเพียงอย่างเดียว….
จริงๆระหว่างนั้นงานค่อนข้างยุ่งมากๆ แทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลยจนกระทั่งราวๆ เดือนสุดท้ายเริ่มกลับมาวิ่งยาวและ body weight ติดต่อกัน 1 เดือนเต็ม



งานนี้รับ BIB ที่ Regal Riverside Hotel ซึ่งเดินทางไม่ยากเท่าไหร่สามารถเดินชมนกชมไม้ไปได้เรื่อยๆ แม้ช่วงเที่ยงวันแต่ยังคงมีนักวิ่งออกกำลังกายตามสวนต่างๆอยู่เป็นระยะๆ

คืนนั้นเรานอนกันเต็มอิ่มเหมือนพรุ่งนี้จะไม่ได้มาวิ่ง…..
เรานั่ง shuttle bus ออกจากจิมซาจุ่ยตั้งแต่ตี 5 ระหว่างรอรถก็เริ่มหวั่นใจเพราะอุปกรณ์กันหนาวที่เตรียมมามีเพียงเสื้อกันลมโง่ๆที่ซื้อมาจากญี่ปุ่นราคา 2000 เยนในขณะที่อุณหภูมิขณะที่รอรถราวๆ 15 องศาได้ ถุงมือก็ไม่มี เสื้อข้างในก็เป็นแขนกุดเหมือนมาวิ่งหน้าร้อนก็มิปาน
“OK เดี๋ยววิ่งไปคงอุ่นขึ้นเอง” ผมคิดในใจ
เรานั่งรถบัสมาเริ่มที่สวนสาธารณะ PHAB Site ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่มีนักท่องเที่ยวมา trekking และ camping กัน

งานวิ่ง HK100 นี่มีระยะเดียวคือ 100KM ไม่มีระยะอื่นเจอปนฉะนั้นทุกคนที่อยู่ที่เส้นนี้ล้วนมีโชคชะตาที่ต้องต้องมาทรมานร่วมกันกว่า 10 ชั่วโมง ณ เส้นทางแห่งนี้
ผมเองปล่อยตัวใน wave 2 สังเกตุว่าเกือบทุกคนล้วนยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพถ่ายตอนปล่อยตัว เพราะเราจะไม่ได้กลับมาที่นี่เองแล้ว เส้นชัยอยู่ที่ Tai Mo shan
ออกตัวไปได้เพียงกิโลเมตรเดียวเส้นทางก็บังคับเราให้ขึ้นไปบนเขาและทั้งหมดเกือบเป็น single track!
การแซงกันนั้นทำได้ยาก และนักวิ่งทุกคนล้วนพยายามวิ่งไปข้างหน้าฉะนั้นจะเป็นสถานการณ์ที่กระอักกระอ่วนพอสมควรคือ เราจะเร่งตามฝีเท้าตัวเองก็ไม่ได้จะช้าหรือหยุดเพื่อให้คนอื่นไปก่อนก็ลำบาก ทางเลือกมีเพียงแค่ต้องไปข้างหน้าตามขบวนไปเรื่อยๆ ในทางหนึ่งก็ดีคือไม่ต้องคิดมากแค่วางเท้าไปเรื่อยๆ
พ้นระยะ 6 กิโลเมตรแรกไปเราเริ่มมาถึงจุดที่เป็นทางกว้างที่สามารถแซงกันได้แล้วนักวิ่งที่กักกันพลังมายาวนาน 5 กิโลเมตรเริ่มใส่กันไม่ยั้งส่วนผม…..

จริงต้องบอกว่าวิวสวยเกือบตลอดเส้นทาง เสียแค่ฟ้าสีเน่าไปหน่อยไม่งั้นจะสวยมากเลย

ระหว่างทางก็เจอนักวิ่งสาวสวยจากทั้ง ฮ่องกงและจีนที่วิ่งได้ดีมากอยู่หลายสิบคนเลย ผมเองก็วิ่งไปดูไปอย่างเพลิดเพลินระหว่างนั้นก็พบว่าตัวเองกำลังวิ่ง pace 5 กว่าๆขึ้นเราตามสาวๆอย่างเมามันส์ ยังดีที่อากาศค่อนข้างเย็นทำให้สามารถวิ่งต่อไปได้ ถ้าเป็นที่ไทยตอนนี้คงหัวใจพุ่งปรี้ดพังไปแล้ว
ตัดสลับมาที่แผนการวิ่งในครั้งนี้ก่อน แน่นอนว่าเราวางแผนมาอย่างดีความชงความชัน สนงสนามอะไรไม่ได้ดูมาเลยว่ามันชันเท่าไหร่ยังไง รู้แค่หลักๆ 2 อย่างคือ
- บันไดเยอะมากเป็นหินแข็ง ระวังการกระแทก
- ครึ่งหลังชันกว่าครึ่งแรกเยอะมาก
ส่วนสิ่งที่ตรวจสอบมามีอย่างเดียวคือ อาหารในเช็คพ็อยต์เยอะมากไม่ต้องเตรียมอาหารไป!!
วิ่งยังไงก็ได้ให้ 1 กิโลเมตรใช้เวลาต่ำกว่า 12 นาที
และเมื่อถึง 50กิโลต้องมีเวลาเหลืออีก 12 ชั่วโมง!
แผนช่างเรียบง่ายเหลือเกินแต่ทำยากมาก!!


บันไดแรกๆที่เจอกลับเป็นขาลง
OK มีเตรียมใจมาบ้างว่าจะเจอกับบันไดแต่ไม่นึกว่ามันจะมาในรูปแบบบันไดขาลง ซึ่งแต่ละขั้นมีขนาดไม่เท่ากันทำให้การกะจังหวะก้าวลงทำได้ยากพอควร คือต้องคิดก่อนก้าวขานั่นเอง
ราวๆกิโลเมตรที่ 18 เราก็ได้เจอกับทะเล และเหมือนที่เราเคยเห็นในวีดีโอเราต้องวิ่งผ่านชายหาด
ซึ่งทรายแม่งโครตดูด!! เอาเป็นว่าเดินน่าจะใช้แรงน้อยกว่าเลยถือโอกาสพักไปด้วยเลย

จริงๆ ผ่านชายหาดราวๆ 4-5 ครั้งจนถึง CP2 เราจึงโบกมือลาขึ้นเขาไป
หลังจากนี้อาการเหนื่อยและเจ็บปวดเริ่มมาเยือนแต่ก็พยายามกัดฟันไปเรื่อยๆ ทางวิ่งส่วนใหญ่เป็นป่า สวน ที่สวยแต่ก็ไม่ได้น่าสนใจหรือทำให้ความเจ็บปวดลดลงไปได้ จนในที่สุดเริ่มรู้สึกพะอึดพะอม เป็นจังหวะเดียวกับที่เข้า CP3 พอดี ระยทางเพิ่งผ่านไปแค่ 36 กิโลเมตรแต่นี้ก็เกินจากที่ปกติซ้อมไปเยอะแล้ว …..



กิโลที่ 45 Yung Shue O
45 กิโลเมตรแรกคือการวอร์มเท่านั้น HK100 ของจริงคือหลังจากกิโลที่ 45 ไป
ฉะนั้นที่ CP นี้ผมจึงใช้เวลานานหน่อยสำหรับนั่งพักและพยายามกินของต่างๆลงไป ให้มากที่สุดชดเชยความหิวจาก CP อื่นๆที่กินมาน้อยมาก และอาการพะอืดพะอมเริ่มถามหา
การเต้นของหัวใจยังคงสูงและไม่มีทีท่าว่าจะลดลง…. ผมพยายามกินส้มเข้าไปเท่าที่ยังกินไหวโดยหวังว่าจะกลายไปเป็นพลังงานและช่วยแก้อาการพะอืดพะอมนี้ได้ แต่นั่นแหละมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย!

จากกิโลเมตรที่ 45 – 50 เราต้องไต่ความชันไปราวๆ 600 เมตรซึ่งไม่ธรรมดาเลยสำหรับร่างกายขณะนี้ จนในที่สุดต้องดึงเอา trekking pole มาใช้จนได้


ในที่สุดก็ถึง Kai Kung Shan ซึ่งเป็นจุดสูงสุดที่เหลือคือวิ่งลง แต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเพราะทางลงเป็นบันไดหิน (อีกแล้ว) ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับกล้ามเนื้อได้มากแม้ว่าจะช่วยเยียวยาหัวใจให้เต้นช้าลงได้ แต่กลับไปทำลายกล้ามเนื้อแทน
หลังจากวิ่งจนสุดทางบันได ในที่สุดก็มาถึงครึ่งทาง ทางกายภาพเสียที !!
CP5 Kei Ling Ha
เข้า CP มาปุ้บก็เจอทีม support คนไทยมารออยู่ก่อนแล้ว พี่มะลิพยายามกุลีกุจอดูเลข BIB ของเราแล้ววิ่งหายไป ซักพักก็กลับมาถามว่า “ได้ฝากของไว้ไหม?” ซึ่งแน่นอนว่าเราไม่ได้ฝากอะไรไว้เลย ฮ่าๆๆๆ ทำเอาพี่มะลิวิ่งฟรี และก็เหมือน CP ก่อนหน้าผมพยายามกินของที่กินได้เข้าไปให้มากที่สุด นั่งพักอยู่ราว 5 นาทีได้แล้วก็ค่อยๆออกจาก CP ไป….
จริงๆอยากนั่งนานกว่านี้อีกหน่อยแต่ที่ CP5 นี้วุ่นวายมากเพราะเหมือนทีม support จากทุกชาติมาพอเพื่อนๆอยู่ที่นี่เลยได้แต่ตัดใจเดินออกจาก CP ไปช้าๆ
จากนี้ไปเท่าที่จำได้คือความชันส่วนใหญ่ของสนามมากองที่นี่ก้มมองนาฬิกาพบว่าความชันสะสมทั้งหมดเพิ่งได้มาแค่ราวๆ 1900 เมตรเท่านั้นซึ่งผมต้องวิ่งทั้งหมดราว 5000 เมตร!!
ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อยๆ เราทำได้แค่ก้าวต่อสู้กับความชันไปเรื่อยๆจนถึงราวๆกิโลเมตรที่ 57 บนสันเขาสักที่หนึ่งที่ผมจึงตัดสินใจควักเอาไฟฉายคาดหัวขึ้นมา
“เริ่มมืดแล้ว ไม่มีทางให้ถอยกลับหรือยกเลิกอีกแล้ว”
ไปต่อได้ซักพักเราวิวที่เราเห็นก็เริ่มเปลี่ยนไป วิวข้างทางกลับกลายเป็นเมือง เราเริ่มมองเห็นเมืองและตึกรามระฟ้าอยู่ไกลๆ ไฟระยิบระยับของเมืองเหมือนเป็นเครื่องหมายบอกว่าเราเข้าใกล้เส้นชัยมากขึ้นแล้ว…
บนสันเขานั้นช่างงดงามเหลือเกิน แม้จะเหนื่อยมากมายแค่ไหนแต่ก็ไม่ทำให้ความสวยงามนั้นลดลง
CP6 (Gilwell Camp) ที่แสนแปลกตา
ที่ CP ต่างๆส่วนใหญ่เราจะเจอกับอาสาสมัครชาวฮ่องกงที่พูดจีนกุลีกุจอช่วยจัดการกับน้ำและอาหารให้เรา แต่ที่นี่กลับเป็นเด็กๆชาวต่างชาติเสียเป็นส่วนใหญ่แถมมีการก่อกองไฟเอาไว้ในแคมป์ด้วยเพื่อให้นักวิ่งเข้าไปนั่งผิงไฟได้ ที่แคมป์นี้เริ่มมีอุด้งซุปมิโซะที่ช่วยให้อาการพะอืดพะอมของผมลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผมย้ายตัวเองไปนั่งผิงไฟและควักมือถือมาตรวจข่าวสารของเพื่อนๆ ซักพักก็ออกจาก CP ไปต่อ….
สิ่งที่น่าแปลกอย่างหนึ่งของสนาม HK100 คือตลอดเส้นทาง 65 กิโลเมตรที่ผมวิ่งมาไม่มีแม้ 1 นาทีที่ไม่มีคนอยู่ข้างหน้าและข้างหลังผมเลย คือเรียกได้ว่าไม่ได้วิ่งคนเดียวเลยตลอดเส้นทางเลย ถ้าเป็นสนามอื่นๆในเมืองไทยที่เคยวิ่งมาแค่เลยซัก 30 กิโลเมตรแรกก็แทบจะวิ่งคนเดียวตลอดแล้ว
ช่วงจากกิโลเมตรที่ 65 ไปกิโลเมตรที่ 73 นั้นเป็นการขึ้นๆลงๆที่นวดให้เราบอบช้ำพอสมควร ถึงตรงนี้ยอมรับเลยว่าง่วงมากหลายๆครั้งที่เดินขึ้นเขาก็โซเซเดินไปหลับไป ดีที่ส่วนใหญ่เส้นทางเป็นถนนทำให้ไม่ต้องใช้สมาธิในการเดินมากสามารถเดินๆหลับๆได้ บางช่วงต้องเจอกับฝูงลิงที่วิ่งมาขวางถนนให้ตื่นเต้นอยู่เป็นระยะๆ จนในที่สุดก็ไม่ไหวต้องนั่งลงหลับข้างทางราวๆ 4 – 5 นาทีเพื่อให้หายง่วงค่อยเดินต่อ แต่ละกิโลเมตรช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้าเสียเหลือเกิน !!
CP7 (Beacon Hill) เมื่อเมืองใกล้แค่เอื้อม
มาถึงจุดนี้โอกาสที่จะไม่จบมีน้อยมากแล้ว เพียงแต่ฝันที่จะจบภายใน 20 ชั่วโมงของผมก็เริ่มเลือนรางไปแล้วเช่นกัน ป้ายบอกระยะทางที่ CP7 บอกว่าเราวิ่งมาถึง 73กิโลเมตรแล้ว ซึ่งค่อนข้างแน่ใจว่าระยะของสนามน่าจะขาดไปอีกราวๆ 1-2 กิโลเมตรแน่ๆ ตอนนี้ใช้ไปแล้วประมาณ 14:30 ชั่วโมง
5 ชั่วโมงครึ่งกับอีก 27 กิโลเมตร
ถ้าเป็นทางราบนี่เป็นเวลาที่สบายๆ แต่ในสนามเทรลนี่เป็นเวลาที่ต้องวัดใจกันสุดๆไปเลย
เส้นทางจาก CP7 ไป CP8 ค่อนข้างง่ายเนื่องจากเป็นถนน และเป็นทางลงเขาแม้ว่าร่างกายจะบาดเจ็บอย่างมากกล้ามเนื้อบางมัดจะเริ่มแข็งแต่ก็สามารถวิ่งเหยาะๆลงมาได้อย่างไม่ยากเย็น

ตลอดทางเป็นการวิ่งที่มองเห็นตึกอยู่ใกล้แค่เอื้อม ภาพภูเขาตัดกับตึกระฟ้านั้นท้าทายให้สายตาเรามองไปที่วิวข้างทางจนลืมไปว่ากำลังวิ่งอยู่ด้วยซ้ำ แม้ว่าร่างกายจะบาดเจ็บในระดับที่น่าจะล้มได้แล้วแต่สายตาที่จับจ้องวิวนั้นพยุงให้เรายังเคลื่อนที่ต่อไปได้
CP8 (Shing Mun Dam) ประตูสู่ความยากลำบากที่แท้จริง…
จากป้ายนี่คือกิโลเมตรที่ 83 อีกเพียง 17 กิโลเมตรเท่านั้นและตอนนั้นใช้ไปแล้ว 16 ชั่วโมงโอกาสไปทัน 20 ชั่วโมงยังมีหวัง!
แต่….
เรายังต้องผ่านส่วนที่ยากที่สุดในสนามนี้อีกคือ
3 พี่น้องขุนเขา
Needle Hill 532 เมตร
Grassy Hill 647 เมตร
และ Tai Mo Shan 957 เมตร

การขึ้น needle hill ในตอนกลางคืนจะว่าไปก็เป็นข้อดีเหมือนกันเพราะเราแทบไม่เห็นเลยว่าความชันนั้นจะพาเราไปที่ไหนรู้แค่ว่าเราต้องก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ เท่านั้นเอง
ต้องยอมรับว่าทั้ง needle hill และ Grassy Hill นั้นผมแทบจำอะไรไม่ได้เลยวิ่งเดียวที่จำได้คือมันชัน ชันมากชันจนไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ needle hill หรือ Grassy Hill รู้ตัวอีกทีก็กำลังลงจากเขาแล้วเจอกับ CP9
ระหว่างทางง่วงมากจนทนไม่ไหวจนต้องแอบหลับระหว่างทางไปอีกรอบ
CP9 (Lead Mine Pass)
นี่คือกิโลเมตรที่ 90 และเวลาที่ใช้ไปทั้งหมดคือ 19 ชั่วโมง!!!
แสดงว่า 7 กิโลเมตรก่อนหน้านี้ผมใช้เวลาไปถึง 3 ชั่วโมงเลยถึงเอาตัวเองมาที่ CP นี้ได้
อีกไม่ถึง 10 กิโลเมตรกับเวลา 1 ชั่วโมงผ่าน Tai Mo Shan เป็นไปไม่ได้เลยที่จะจบทัน 20 ชั่วโมง คิดได้แบบนี้ก็แค่งีบไปอีกซักงีบเพื่อที่จะได้ผ่านภูเขาลูกสุดท้ายไปให้ได้ CP นี้เริ่มกินอะไรไม่ลงแล้วมีแค่ดื่มโค๊กไปเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วไปต่อ
เส้นทางในสายหมอก
เส้นทางจาก CP9 สู่ Finish line นั้นคือเส้นทางแห่งสายหมอก เส้นทางการขึ้นสู่ยอดเขานั้นไม่ได้เป็น single track คือสามารถเลือกเดินได้หลายทางดังนั้นปัญหาใหญ่คือเราไม่สามารถมองเห็นแสงสะท้อนของอุปกรณ์เรืืองแสงที่ใช้บอกทางได้เลย จนกว่าจะใกล้พอฉะนั้นเหมือนเรากำังเล่นเกมส์ลากเส้นต่อจุดคือเรามองเห็นได้แค่จุดถัดไปเท่านั้นแล้วหาทางเดินไปให้ถึงเพื่อมองหาจุดต่อไป
นอกจากหมอกที่เป็นอุปสรรคในการมองเห็นแล้ว ลมที่ปะทะตัวเราตลอดเวลาก็ทำให้อุณหภูมิในร่างกายของเราลดลงอย่างรวดเร็วหมอกกลายเป็นน้ำทำให้ทั้งตัวเปียกโชกยิ่งลดอุณหภูมิลดลงไปใหญ่
ผ่านไปได้ 4.5 กิโลเมตรเราก็ผ่านจุดสูงสุดของ Tai Mo Shan มาแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น มองไปข้างหน้าไม่เห็นคน มองย้อนกลับไปข้างหลังก็ไม่เห็นแสงไฟ นี่อาจจะเป็นช่วงเดียวของสนามนี้ที่ได้อยู่คนเดียว เส้นทางเริ่มพาเราวิ่งลงไปตามถนนที่มองไม่เห็นอะไรสิ่งเดียวที่มองเห็นได้คือเส้นถนนเท่านั้น จึงตัดสินใจวิ่งตามเส้นถนนไปเรื่อยๆ จนเจอกับบันไดลงและเริ่มได้ยินเสียงประกาศเพียงไม่ไกล และแล้วก็ถึงเส้นชัยจนได้ ความทรมานจบลงเสียที


