ตระนาวศรีเทรล 2016 (รีรันยาวมากกก)

Posted by
เค้าว่ากันว่าตีเหล็กต้องตีตอนร้อน ….
รีวิวตระนาวศรีเทรลก็เช่นกัน ต้องรีวิวตอนยังบาดเจ็บ….
ปีที่แล้วได้มาสัมผัสกับความซาดิสม์ของสนามนี้มารอบนึงแล้ว
ปีนี้เค้าบอกว่า single loop รอบเดียวจบไม่ต้องซ้ำเขาแหลมสองรอบเลยกดสมัครโดยไม่ลังเล
ปีที่แล้วตอนขึ้นเขาแหลมรอบสองเจ็บขามาก เจ็บมากชนิดที่ว่าไม่สามารถก้าวต่อไปได้แม้แต่ก้าวเดียว
จนต้องนั่งพัก และนั่นเป็นการนั่งพักในสนามแข่งครั้งแรกในชีวิต(แต่ก่อนขยันกว่านี้มากเวลาอยู่ในสนามแข่งจะไม่ยอมพักแม้แต่นาทีเดียวทุกวินาทีคือการเคลื่อนที่ไปข้างหน้า)
หลังจากนั้นก็ติดใจการนั่งพักในสนามแข่งเรื่อยมา ฮ่าๆๆๆ
แต่ยัง ยังไม่เข็ด ! ปีนี้กลับมาอีกรอบด้วยร่างกายที่ฟิตเท่าเดิมแต่ฟอร์มตกอย่างร้ายกาจ!!!
20:00 คืนก่อนแข่ง
     รู้สึกเพลียๆจากการสังสรรค์กับเพื่อนๆคืนก่อนหน้าและการนอนน้อยติดต่อกันมาอาทิตย์หนึ่ง ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตี 1 แล้วเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ข้างห้องคุยกันเสียงดังตลอดเราก็นอนแอบฟังไปเรื่อยๆนานมากจนหลับไปเอง
23:33 ตื่นมากลางดึกรู้สึกปวดหลังนิดๆ พยายามข่มตาลงให้หลับ
00:30 พี่โจตื่นขึ้นมาแล้วผมเองที่นอนไม่ค่อยหลับก็รู้สึกตัวด้วยพยายามข่มตานอนต่อแต่มันเป็นเพียงการหลับตาเท่านั้นไม่ใช่การหลับแถมไปเพิ่มความเครียดในการพยายามหลับอย่างไม่จำเป็นเลยตื่นมาเลยดีกว่า…..
02:30 เริ่ม check BIB จู่ๆภาพ flashback ก็กลับมาความทรมาณของปีที่แล้วแม้ว่าหน้าตาจะยิ้มแย้มทักทายเพื่อนๆไปทั่วแต่ในใจกลัวอย่างร้ายกาจ

15403746_10210615331156407_7517674185638700945_o
โพสลง FB ไปว่าเริ่มกลัวแล้วซึ่งนั่นเป็นความกลัวจริงๆ

 

03:00 ปล่อยตัว
     ตอนนั้นนึกอะไรไม่ออกแล้วคิดอย่างเดียวว่าเราน่าจะได้เปรียบเรื่องขึ้นลงภูเขาจึงเร่งฝีเท้าออกตัวตามเหล่าอีลีทไปเพื่อไปอยู่แนวหน้า….. และพบว่าทางราบนี่ไม่มีทางเลยที่จะตามเหล่าอีลีทได้ทัน
03:17 ผิดปกติ!!
    แม้ว่าจะอ่อนซ้อมแค่ไหน วิ่งจนเหนื่อยยังไงแต่ระยะเพียง 3 km ไม่มีทางเลยที่หัวใจจะพุ่งสูงขนาดนี้ จู่ๆอัตราการเต้นของหัวใจของผมก็พุ่งขึ้นไปจนถึงขีดจำกัด ซึ่งรู้ได้จากอาการกลืนน้ำลายไม่ลง มือชาและหายใจทางจมูกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ จึงตัดสินใจเดินเพื่อลดอัตราการเต้นของหัวใจลง
03:35 ซอมบี้
     ทางขึ้นเขาที่คิดว่าตัวเองถนัดกลายเป็นของยากขึ้นมาทันตา อัตราความเร็วลดลงฮวบๆแม้ว่าจริงๆทางจะไม่ได้ชันมากและพยายามจะเลี้ยงลมหายใจของตัวเองให้สม่ำเสมอแล้วแต่ก็ไม่ทำให้ความเหนื่อยหรืออัตราการเต้นของหัวใจลดลง ตั้งแต่กิโลที่ 5 ลงไปคือทางลงเขาที่ต้องวิ่งผมกลับทำได้แค่เดินช้าๆ เท่าที่ลมหายใจจะไหว ปล่อยให้แสงไฟคาดหัวจากนักวิ่งคนอื่นๆสาดส่องผ่านตัวผมไปคนแล้วคนเล่า
04:18 ความผิดพลาดที่ 1
     ระยะทางราวๆ 8 กิโลกว่าๆทางลงเขากำลังจะสิ้นสุดลงผมกลับเลือกเหยียบหินก้อนที่ไม่มั่นคง! จากประสบการณ์การเดินป่าจะทำให้เราตัดสินใจได้ค่อนข้างแม่นยำว่าเราจะเลือกเหยียบหินก้อนไหน ถ้านี่เป็นหวยผมคงเจอแจ็คพ็อตเข้าแล้วหินที่ดูแข็งแรงกลับรับน้ำหนักตัวที่ทิ้งลงไปไม่ไหวแตกและสะบัดเอาขาซ้ายผมบิดตามไปด้วย ถึงแม้ว่าจะโชคดีที่มี trekking pole คอยรับน้ำหนักตัวไว้บ้างแต่ผลที่ได้คือขาซ้ายแพลง ร้องโอดโอยเรียกพี่ใหญ่แห่งสวนลุมอยู่พักนึงพร้อมทั้งกะเพลกไปเรื่อยๆ ในใจเริ่มหาเหตุผลจะ DNF
05:00 เค้าว่ากันว่าป่านั้นคือบ้านดั้งเดิมของมนุษย์ทั้งหลาย
     หลังจากขึ้นเขาเขียวมาได้ซักพักได้สัมผัสความชื้นยามค่ำคืนของป่าเพียงลำพัง ฟังเสียงนกกลางคืนและแมลงร้องระงม จู่ๆร่างกายก็ฟื้นตัวอัตราการเต้นของหัวใจกลับสู่สภาวะปกติและเริ่มกลับมาวิ่งได้อีกครั้งและเริ่มแซงนักวิ่งบางคนได้แล้ว ระหว่างนั้นก็เริ่มมีความหวังที่จะได้เห็นพระอาทิตย์กำลังจะขึ้นที่เขาแหลมอีกครั้ง
06:10 คนที่ไม่น่าจะได้เจอ
     ระหว่างที่ไล่แซงนักวิ่งคนแล้วคนเล่าขึ้นมาเรื่อยๆเพื่อขึ้นยอดเขาแหลม จู่ๆก็เจอคนที่คุ้นตาแต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ คนๆนี้ไม่น่าจะมาอยู่ที่นี่เวลานี้ ผมจึงลองเดินไปเข้าจี้ใกล้ๆเพื่อจะดูหน้าปรากฏว่าคือพี่โจ Jirapong Loh สุดยอดนักวิ่งแนวหน้าจริงๆด้วย ซึ่งในความเป็นจริงไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ผมจะตามพี่โจทันไม่ว่าจะสนามไหนก็ตาม
    “WS2 อยู่อีกไกลไหม” คือประโยคแรกที่พี่โจถามขึ้นมา (WS คือสถานีที่เราสามารถเติมน้ำได้)
     “กระเหรี่ยงที่เติมตรงตีนเขานั่นแหละครับคือ WS2” ผมตอบไปแบบไม่ค่อยแน่ใจ
ปรากฏว่าพี่โจเข้าใจผิดว่านั่นไม่ใช่ WS และไม่ได้เติมน้ำมา
ตอนนี้ น้ำหมด trekking poleหัก ล้มมีแผลเต็มตัว ตะคริวขึ้น และรองเท้ากัด!!!!
“WS หน้าอยู่อีก 5 โล ใกล้ถึงยอดเขาแหลมแล้วเดี๋ยวดูดน้ำผมซักหน่อยแล้วพักกินก่อนค่อยไปต่อครับ” วินาทีนั้นผมมีคำแนะนำได้เท่านั้น เพราะผมเองก็ไม่ได้เติมน้ำมาตั้งแต่ออกวิ่งเช่นกันเนื่องจากคนเยอะและมืดไม่สะดวกอย่างมาก
07:06 ยอดเขาแหลมที่คุ้นเคย
     “ที่ๆเราคิดว่าไม่น่าจะได้กลับไปอีก ถ้าเราคิดถึงมันบ่อยๆเราจะได้กลับไปหามันอีกแน่นอน”
เป็นคำพูดที่เพื่อนชาวออสซี่ของผมคนนึงเคยบอกไว้ ตอนได้ฟังก็ไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่แต่ตอนนี้ผมกลับมาที่นี่อีกแล้วที่ๆผมคิดถึงมันบ่อยๆ ยอดเขาแหลม
15418469_10210615816848549_4430063481904217749_o
ถ่ายเอาไว้เผื่อปีหน้าได้กลับมาอีก !

ชื่นชมธรรมชาติและฝูงหมาอยู่พักนึงก็ไปต่อ

15385285_10210616012213433_6281819629998120152_o
ลูกพี่จ่าฝูงอวยพรว่า ไปดีมาดีละ

หลังจากนี้ไปคือ down hill ยาวๆ 4 กิโลสนุกแน่



   เค้าว่ากันว่าชีวิตก็เหมือนกับละคร ขีวิตผมของเป็นหนังหักมุมแบบคลาสสิคที่ไม่ค่อยมีหัวคิดเท่าไหร่
ก่อนจะลงจากเขาแหลมเจอพี่มอส Mosy Nicky สุดยอดนักวิ่งจากระยองผู้ที่เจอกันเกือบทุกเทรลโหดๆแต่ก็ทิ้งผมไปตลอด ฮ่าๆๆๆ เลยชักชวนพี่มอสลง WS3 ไปด้วยกัน
ภาพนี้ขโมยมาจาก FB พี่มอสโดยไม่ได้ขอมาแต่ประการใด
     ลงมาจากเขาแหลมได้แค่ 1 km โหมดซอมบี้ก็กลับมาอีกแล้วพละกำลังที่มีจู่ๆก็หดหายไปเฉยๆ แต่โชคดีที่มันชันค่อยข้างมากทำให้ผมแค่ประคองไม่ให้ตัวเองล้มและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเรื่อยๆ เป็นครั้งที่สองที่ต้องขอบคุณ trekking pole ที่ทำให้ผมประคองตัวไปได้เรื่อยๆ ระหว่างนั้นมีขาแพลงไปอีกรอบ แต่ก็ทำได้แค่สบถ เบาๆ
07:45 พักผ่อน
     4 ชั่วโมง 45 นาทีเป็นเวลาสบายๆที่ผมใช้จบระยะมาราธอน
แต่ตอนนี้ผมอยู่ที่กิโลที่ 21 และเหนื่อยเหมือนจะขาดใจ WS3 มีอาหารเป็นข้าวไข่เจียว และแกงจืดไก่ใส่ฟักซึ่งกินไม่ค่อยลงเนื่องจากข้าวดิบ!!!! และข้าวดิบนี้วนเวียนหลอกหลอนผมไปทุกๆ WS ไม่ว่ามันจะแปรรูปไปเป็นข้าวผัดที่ WS4 หรือ ข้าวเย็นที่ WS3 รอบสองมันก็ทำให้ผมกินไม่ลงเหมือนเดิม !!
ตัดสินใจกินน้ำหวานไปเยอะมากแทนและนั่งพักรอดูคนเข้าออก WS3 คนแล้วคนเล่าอย่างใจเย็น
“ถ้าอัตราการเต้นของหัวใจยังไม่ลดลงเป็นปกติในครึ่งชั่วโมงผมจะ DNF ตัวเองตรงนี้!”
ตอนนี้เริ่มรู้สึกพะอืดพะอมมีเพียงน้ำหวานและเกลือแร่เท่านั้นที่สามารถกินเข้าไปได้โดยไม่รู้สึกอยากจะคายออกมา
08:10 เค้าว่าความเบื่อฆ่าคนให้ตายอย่างช้าๆ
     รู้สึกตัวอีกทีผมกลับมาอยู่ในสนามอีกครั้งโดยที่หัวใจยังไม่ได้ลดลงจนเป็นปกติด้วยความเบื่อที่จะนั่งเฉยๆและตัวผมเองไม่ได้มีวินัยพอจะรอให้หัวใจเป็นปกติ ผมมองหาเป้าหมายข้างหน้า เป้าหมายคือใครซักคนที่ผมพอรู้จักและเกาะเดินคุยไปด้วยกันได้นี่เป็นทางเดียวที่ผมจะไม่เบื่อตายไปเสียก่อน
ขึ้นเขาไปได้พักหนึ่งก็เจอคนที่ผมน่าจะรู้จัก !! แอน Pimprapai Ninsuwan สุดยอดสาวสวย เก่งผู้มีพัฒนาการในการวิ่งเทรลไปไกลมากกก เกินกว่าแอนคนเดิมที่ผมเคยเจอที่ลังกาน้อยลังกาหลวง เลยขอเดินประกบคุยอะไรไปเรื่อยเปือย เพื่อให้ลืมเรื่องที่ หัวใจของตัวเองกำลังทำงานเกินกว่าปกติ ซึ่งผมเดินไปกับแอนสลับวิ่งแซงไปซักพักแล้วก็โดนแซงกลับอยู่พักใหญ่จนทำให้ผมลืมเรื่องความเหนื่อยไปได้เลย
09:19 เกินลิมิต!
     เสียงไอจนตัวโยนของผม เริ่มออกมาเป็นระยะลำคอที่แห้งผากเป็นระยะๆ
ไม่ว่าจะพยายามเติมน้ำไปเท่าไหร่ก็ไม่สามารถดับความกระหายได้เลย การจิบน้ำทุกๆ 5 นาทีกลายเป็นเรื่องปกติภาพที่มองเห็นเริ่มไม่อยู่นิ่ง นี่น่าจะเป็นสัญญาณว่ามันจบลงแล้ว ร่างกายผมไม่สามารถสู้ต่อไปได้อีกแล้ว….
ผมตัดสินใจนั่งลงกับพื้นทันที จริงๆอยากได้ที่ที่ลมโกรกด้วยแต่มันไปต่อไม่ไหวแล้ว ผมควานหาอะไรที่จะเป็นพลังงานง่ายๆ เอาไปใช้ได้เร็วๆ ที่สำคัญต้องกลืนง่ายและพออยู่ท้อง ได้มาเป็นเวเฟอร์รสเมล่อนที่กลิ่มหอมประดิษฐ์ๆ เกินจริง ซึ่งพบว่ามันมีประโยชน์มากเพราะช่วยให้กินง่ายแค่เคี้ยวเบาๆ 2-3 ครั้งก็สามารถกลืนลงไปได้แล้ว ผู้คนเริ่มเดินผ่านผมไป ระหว่างนั้นผมยังใจดีสู้เสือชวนคนอื่นที่เดินผ่านไปมากินขนมเพื่อกลบเกลื่อนอาการของตัวเอง
09:48 ชั่วกัปชั่วกัลป์
นั่งอยู่ที่นั่นนาน นานจนกระทั่ง……. ยุงหาม สลัดเอ้ย!
รองจากผึ้งก็ยุงนี่แหละที่ผมเกลียดตอนนั้นไม่มีสติจะเอายากันยุงมาฉีดแล้วสติเหลือแค่เดินหนีมันไปเรื่อยๆ แต่ละก้าวที่เดินไปดูเหมือนจะย่ำอยู่กับที่เดินไปเนิ่นนานเท่าไหร่ไม่รู้ แต่พอดูนาฬิกาก็พบว่ามันเป็นระยะทางแค่ 300 เมตร! ระยะทางเพียง 1 กิโลเมตรยังไม่น่าจะไปถึง ไม่ต้องพูดถึงระยะอีกตั้ง 30 กิโลเมตร นี่ยังมาไม่ถึงครึ่งทางเลย !!!!!
โดยเฉพาะช่วงกิโลเมตรที่ 30 – 31 นั้นยิ่งแย่เข้าไปใหญ่เพราะเราต้องเดินไปบนทางถนน 4 wheel ที่ชันมากดินร่วนและมีรถ 4 WD วิ่งจริงๆ แดดเริ่มออกฤิทธ์ลามเลียทุกอย่างจนต้องงัดแว่นกันแดดออกมาหลอกตัวเอง
10:47 คือเวลาที่ถึง WS4 หัวใจยังคงทำงานไม่ปกติอาการพะอืดพะอมยังคงตามหลอกหลอน น้ำอัดลมที่ WS4 คือสวรรค์ชั้นสูงสุดที่สัมผัสได้แต่เหลือแค่ราวๆ 2 แก้วเท่านั้น กินส้มตำไป 2 หยิบเล็กๆ ที่เหลือพยายามกรอกน้ำหวานเข้าปากหวังว่ามันจะกลายไปเป็นพลังงานให้เรา คุยกับเฮียเจ็กถึงพี่โจ กังวลอยู่ว่าจะเป็นไงบ้าง และพอขาดคำพี่โจก็โผล่มาในสถาพเฟรชๆ ทำเอาเราตกใจถึงความแข็งแกร่งของพี่โจไปเลย สรุปตอนนี้เราเองนี่แหละที่น่าเป็นห่วงที่สุด
11:09 ถ้าคิดว่าความทรมานที่เจอคือที่สุดแล้ว แสดงว่ายังมีความทรมานกว่ารออยู่เบื้องหน้า
     ใช่แล้ว ช่วงที่เลวร้ายที่สุดของสนามนี้คือช่วง เขาคอด – เขากระโจม ระยะทางราวๆ 5.3 กิโลเมตรความชันสะสมราว 400 เมตรท่ามกลางแดดร้อนตอนเที่ยงวันที่ไม่มีเมฆแม้แต่ก้อนเดียว ไม่มีร่มเงา บนทางออฟโร้ดที่เต็มไปด้วยกรวดแข็ง ฝุ่น และรสออฟโร็ดที่วิ่งอยู่บนทางนั้นจริงๆ
     ตลอด 1ชั่วโมงครึ่งที่อยู่บนเส้นทางนี้เหมือนอยู่บนขุมนรกที่ไม่มีวันสิ้นสุดเป้าหมายที่จะไปยังคงเหมือนไม่มีวันไปถึงได้ จนผมต้องงัดเอา “หูฟัง”มาฟังเพลงซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทำเลยตลอดตั้งแต่วิ่งมา “หูฟัง” เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมไปพ้นจากความเป็นจริง พ้นจากความทรมานที่เหมือนไม่มีวันจบสิ้น ผมไม่สนใจอีกต่อไปว่ารถจะมาสอยผมหรือไม่ แถมคิดในใจว่าถ้ารถชนไปก็ดีจะได้พ้นๆจากความทรมานนี้ไปได้เสียที!!
ไม่ว่าจะแหงนมองไปยังไงก็เหมือนไม่มีวันสิ้นสุด


     ไปให้สุดขอบฟ้า จะไม่มองย้อนมา จะมุ่งไปให้ถึงดวงดาวที่ฝันใฝ่

    ไม่ว่ามันจะใกล้จะไกล สุดขอบฟ้า จะไม่มีใครมาหยุด หรือมีแรงมาฉุดเรา ตราบใดที่เรานั้นไม่หยุดเรา ต้องลองดู ต้องลองดู


     เสียงเพลงแรกที่โหลดไว้ในโทรศัพท์ดังขึ้น ท่ามกลางแสงอาทิตย์แผดเผาที่ยิ่งทำให้อัตราการเต้นของหัวใจของผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนมันไม่ได้ทำให้ความเหนื่อยลดลงไปแต่มันทำให้ผมลืมความเหนื่อยนั้นไปได้บ้าง
     เสียงเพลงปลุกเร้าให้ผมลองวิ่งแต่เมื่อลองวิ่งกลับพบว่าไม่สามารถวิ่งได้เลย นิ้วเท้าทั้งสองข้างระบมไปหมดเพราะถุงเท้าวิ่งแบบห้านิ้วราคาแพงนั้นรั้งนิ้วเท้าเอาไว้และท่ามกลางแสงแดดแบบนี้การถอดถุงเท้าเปลี่ยนไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ฉลาดนัก ทางเลือกจึงเหลือแค่ขึ้นไปให้ถึงยอดเขากระโจมให้ได้เท่านั้น!!
12:00 ผมก้มมองนาฬิกาจับระยะทางบนข้อมือ ผ่านมาแล้ว 36 กิโลเมตรด้วยระยะเวลา 9 ชั่วโมง แสดงว่าผมเหลือเวลาอีก 8 ชั่วโมงสำหรับ 23 กิโลเมตรที่เหลือฟังดูเป็นตัวเลขที่สมเหตุสมผล แต่ ณ เวลานั้นเหตุผลดูจะเป็นเรื่องรองๆ แล้ว แต่ละก้าวที่เคลื่อนที่ไปเหมือนไม่มีวันสิ้นสุดเวลาดูยืดยาวออกไปเป็นอนันต์ และไม่ว่ามองไปข้างหน้าอย่างไรก็ไม่เห็นทางราบเสียที ส่วนพี่โจนั้นหลังจากฟื้นกลับมาก็ทิ้งผมไปไม่เห็นฝุ่นแล้ว
12:33 เนิน 1000
     ในที่สุดระยะทางอันดูเหมือนเป็นอนันต์ก็จบลงเสียทีบนเขากระโจมเจ้าหน้าที่แจก trail boy ให้กับ 50 คนแรกที่มาถึงเข้าใจว่าตอนนี้มีคนมาถึงเขากระโจมแค่ 37 – 38 คนเท่านั้น
ปกตินั่ง 4WD ขึ้นมาตอนเช้าๆอากาศดีมาก แต่นี่คลานสี่ขาขึ้นมาตอนเที่ยงวันคงเป็นประสบการณ์ที่ลืมไม่ลง
ผมจัดแจงหลบใต้ร่มเงาเปลี่ยนถุงเท้าที่เตรียมมา เสียดายที่บนนี้ไม่มีน้ำอัดลมคงมีเพียงน้ำหวานผสมเท่านั้น แต่ก็กินน้ำหวานลงไปจนจุก ตอนนี้ขนาดน้ำเปล่ายังต้องกินแล้วบ้วนทิ้งเพราะกลืนไม่ลงเลย คราวนี้ตั้งใจนั่งพักให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้
12:45 ดูเหมือนว่าน้ำหวานที่ทยอยยัดเข้าไปจะช่วยได้จริงๆรู้สึกว่าเริ่มมีกำลังขึ้นมาอีกครั้งจึงเอาน้ำราดหัวให้พอเปียกๆ แล้วเหยาะๆลงเขากระโจมมาเส้นทางขาลงบวกกับการที่เปลี่ยนถุงเท้าทำให้ทุกอย่างดีขึ้นมาก
จนมาเจอพี่หมู Taweewut Waicharoen พี่บี Wararit Saengdaeng Bee และเฮียไช้ Boonchai Wongpairin pack 3 กันมาซึ่งผมก็ได้ให้กำลังใจทุกคนไปว่า ชันมากๆ
13:12 นอกจาก อากาศ อาหาร น้ำ แล้ว เพื่อนก็คือแหล่งพลังประเภทหนึ่ง
    กลับมาถึง WS4 ในสภาพสะบักสะบอมปนตกใจเพราะที่สถานนีนี้มีเพื่อนๆมาอออันอยู่เต็มไปหมด ด้วยสีหน้าร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสกันเกือบทุกคน
     “อาร์ทททททท” เสียงแหลมลากยาวมาจากใครซักคนในกลุ่ม ผมมองตามต้นเสียงไป พี่ปลาร้อยไมล์นี่เอง อยู่กับวิวร้อยโล โจอี้ร้อยเมตร(ความยาว) ถึงได้รู้ว่าหลายๆคนมาโดน cut off ที่สถานนีนี้
ผมเองกลับนึกในใจอยากโดน cut off ที่สถานนีนี้เหมือนกัน เพราะไม่อยากเจอถนนร้อนนรกอีกแล้ว ลังเลอยู่พักใหญ่ แต่ดูท่าทางพี่ปลาจะไม่ยอมให้ผมออกจากการแข่งได้ง่ายๆ
“เดี๋ยวก็กลับเข้าป่าแล้ว” เสียงจากพี่โจอี้ Joey Sittidet ดังเตือนสติผม
ลองพยายามกินข้าวผัดดูแต่ก็กินไม่ได้จริงๆ ข้าวดิบ!! กินได้แค่ไข่ที่นิ่มๆที่ติดอยู่กับข้าวเท่านั้น
พลังงานที่เหลืออยู่ตอนนี้น่าจะมาจากน้ำหวานเพียงอย่างเดียว !!! แต่พลังใจนี่เหลือล้น
ระหว่างทางได้สวนทางกับเพื่อนๆหลายคนที่ไม่ทัน cut off ที่คอยให้กำลังใจตลอดทาง
ตอนนี้จำนวนคนในสนามน่าจะลดลงเรื่อยๆ และน่าจะเหลือไม่ถึง 100 คนแล้ว ….
14:00 อีกครั้งที่กลับมาที่ลำธาร ลำธารที่ผมมักได้ยินเสียงของนักวิ่งบ่นว่าชัน ว่าลื่น แต่ทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงน้ำในป่านั่นคือเสียงของชีวิต มันกระตุ้นเร้าให้ผมวิ่งเข้าไปหา ผมเอาหน้าจุ่มลงไปในลำธารแล้วดื่มน้ำจากลำธาร ซึ่งเย็นและอร่อยและเป็นเพียงน้ำเปล่าอันเดียวในตอนนี้ที่ผมดื่มได้โดยไม่รู้สึกกระอักกระอ่วน จำไม่ได้ว่าดื่มไปเท่าไหร่แต่กินจนกระทั่งพุงป่อง
ตอนนี้อัตราการเต้นของหัวใจผมกลับมาปกติอีกแล้วและเริ่มไล่เก็บนักวิ่งที่นำผมไปได้บ้างจนกระทั่งมาเจอ เบ้กกี้ Jutapon Kaeoprakhon ซึ่งนำผมไปไกลมากเดินกระเผลกๆอยู่ จึงใช้โหมดซอมบี้เดินบ่นไปเรื่อยๆด้วยกัน แต่คราวนี้เส้นทางไม่ได้นำเราขึ้นเขาไปทางที่ลง WS3 เดิมกลับพาเราเบี่ยงซ้ายเลาะไหล่เขาซึ่งเป็นทางที่ technical มากถึงกับต้องเอ่ยปากว่า “นี่พี่โต้งไปดูงานเกาะช้างมาใช่ไหม?”
ถึงแม้จะมีความชันไม่เยอะและระยะทางใกล้กว่าเกือบกิโลแต่กลับต้องใข้สมาธิกับเส้นทางค่อนข้างเยอะ
15:58 บ้านกี้ The way of no return
     นี่อาจจะเป็น WS เดียวในสนามนี้ที่ผมไม่ได้คิดถึงเรื่อง DNF เลย เช่นเคย WS นี้คราคร่ำไปด้วยนักวิ่งระยะ 29 กิโลที่โดน cut off หลายๆคนมีอาการบาดเจ็บ บางคนกำลังทยอยลงมายัง WS3 นี้ส่วนใหญ่รู้สึกว่าดีแล้วที่ไม่ได้ไปต่อ ผมพยายามอย่างมากที่จะกินอะไรลงไปเพื่อให้ได้พลังงานเพิ่มแต่ WS นี้มีเพียงข้าวดิบไข่เจียวเหมือนเดิม น้ำหวานไม่หวานเหมือนครั้งแรกอาจจะเพราะต้องแจกจ่ายให้กับนักวิ่งปริมาณมหาศาล เลยอาศัยดื่มเกลือแร่แทนน้ำหวานไป กินไข่ลงไปได้นิดหน่อย นั่งพักราว 10 นาที

อีก 8 กิโลเท่านั้น หรือราวๆ 12,000 ก้าว ผมมีสิทธิที่จะเข้าเส้นชัยก่อนมืด !!

ในความคิดตอนนั้นเห็นภาพภูเขาลูกเล็กๆ ขวางระหว่างผมกับเส้นชัย แค่ลูกเล็กๆเท่านั้น!!


 

หน้าตามอมแมมถึงขีดสุด
ผ่านไป 30 นาทีจาก WS3(บ้านกี้) ตอนนี้รู้สึกขอโทษภูเขาอยู่เบาๆที่ไปเรียกมันว่า ภูเขาลูกเล็กๆ
ผ่านไป 30 นาทีผมเคลื่อนตัวห่างจากบ้านกี้มาได้แค่ 1 km เท่านั้น ในใจนับถอยหลังถึงเส้นชัยอยู่เรื่อยๆ
17:07 End of Up Hill, End of The Hell
เป็นครั้งแรกที่ดีใจมากที่เจอป้ายนี้
เชื่อว่าหลายๆคนคงรู้สึกเช่นเดียวกับผมเมื่อเจอป้าย End of Up Hill ตอนนี้หัวใจกลับสู่สภาพปกติแล้ว ถึงเวลาที่จะวิ่งได้แล้ว ผมออกวิ่งลงจากเนินเรื่อยๆ ด้วยสภาพกล้ามเนื้อที่บอบช้ำเต็มทีแต่เพียงแค่ไม่ถึงกิโลเมตรจากทางลงเขา ขาขวาที่ไม่เคยเป็นอะไรเลยก็แพลงบนพื้นราบๆขึ้นมาเฉยๆ เป็นการขาแพลงรอบที่ 3 ของ race นี้!
แต่ถึงจุดนี้แล้วยังไงก็ต้องจบก่อนมืดให้ได้ !! แม้จะเจ็บยังไงก็จะไม่ลดความเร็วลงเด็ดขาด
17:31 สวรรค์ชั้น 7
     หลุดออกจากป่ามาได้ก็พบกับน้ำตกใหญ่ที่มีป้ายเขียนว่าทื่อๆว่า “ชั้น 7” แต่ไม่สามารถหยุดถ่ายรูปได้ แสดงว่าเราอยู่น้ำตกแล้ว แสดงว่าอยู่ใกล้เส้นชัยมากแล้ว
ทางลงน้ำตกเป็นชั้นหิน และบันไดหินที่สร้างความบอบช้ำแก่กล้ามเนื้อได้มาก ในใจคิดว่าทำไมผู้จัดต้องมาเลือกทรมานนักวิ่งในกิโลท้ายๆด้วย แต่ในความจริงแล้วความทรมานเพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้นเอง…
3 km ก่อนเส้นชัย บันไดสู่สรวงสวรรค์
     หลังจากผ่านสะพานข้ามน้ำตกมาทุกคนจะได้เจอกับบันไดหินที่ทอดตัวยาวขึ้นไป
ใช่ครับ ขึ้นไปคือมันดันกลายเป็นทางขึ้น! และลงสลับกันไป แม้ว่าตอนนี้ความเจ็บปวดจะเริ่มถามหาแต่ความปิติยินดีนั้นมีพลังมากกว่าทำให้ผมสามารถวิ่งขึ้นและลงบนบันไดหินได้ แม้ไม่เร็วมากแต่ก็พอทำเวลาได้
2 km ก่อนเส้นชัย
     เสียงของพี่แซม Sam Klaikluan ดังมาเป็นระยะๆแสดงความยินดีกับคนวิ่ง
“ได้ยินเสียงแบบนี้แสดงว่าใกล้มากแล้ว ระยะน่าจะขาด” ผมคิดอยู่ในใจ
แต่เปล่าเลยเส้นทางกลับพาผม วกหนีเสียงนั้นไปทางขวามือเรื่อยๆ
1 km ก่อนเส้นชัย
     ผมยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรแจ้งคนที่อาจจะรออยู่ที่เส้นชัยว่าระยะเหลือไม่ถึง 1 km แล้วหลังจากวางหู เก็บโทรศัพท์ให้แน่นสูดหายใจสองสามเฮือก ผมก็ออกวิ่งด้วยความเร็วเท่าที่ตัวเองจะวิ่งได้ ……
ขอบคุณเพื่อนๆที่มารับที่เส้นชัย ขอบคุณเสียงพี่แซมที่นำทางมายังเส้นชัย
ผลประกอบการปีนี้ช้ากว่าปีที่แล้วไป 3 ชั่วโมงกว่า
สรุป
ข้อดี : งานจัดดีมากตั้งใจดีมีรายละเอียด/ staff ดูแลดี /น้ำเพียงพอ /ริ้บบิ้นและป้ายติดไว้อย่างทั่วถึงไม่ต้องใช้เวลาสังเกตมาก
ข้อติติง : ข้าวดิบ!!! / ทางขึ้นลงน้ำตกน่าจะผูกเชือกไว้ให้นักวิ่งเกาะหน่อยดูอันตรายอยู่ /หลายๆจุดช่วงกลับจาก WS4 ไป WS3 มีช่วงอันตรายที่น่าจะผูกเชือก safety ได้อยู่แต่ก็ไม่ได้ทำ แต่ก็เข้าใจว่าด้วยสภาพสนามและกำลังคนน่าจะไม่พอ /
เสียดายปีนี้ร่างกายไม่ค่อยพร้อมเท่าไหร่จะอ้วกตลอดเวลา เลยกลายเป็นการทรมานตนไปซะงั้น
ถ้าร่างกายพร้อมกว่านี้น่าจะสนุกกว่านี้ เสียดายที่ปล่อยตัวดึกจังไม่เห็นบ่อคลึงตอนเช้าเลยน่าจะสวยมาก ขอบคุณ เพื่อนๆทุกคนในสนามที่ผมเอ่ยไปข้างต้นที่ให้ผมเกาะไปและต้องมาทนฟังผมพูดและเล่นมุขเห่ยๆ จริงๆคือเหนื่อยมากอยากหาเพื่อนคุย
ขอบคุณ ทีมงานจัดงานโดยเฉพาะ volunteer ที่ไม่สามารถ tag ชื่อได้ทุกคนที่อุตส่าห์ขึ้นลงเขาหลายรอบผูกริบบิ้นทำทางให้พวกเราได้มาทรมานตนเอง
ปีหน้าฟ้าใหม่ถ้าไม่มีเขากระโจมเราเจอกันอีกแน่ๆ ฮ่าๆๆๆ

 

ใส่ความเห็น

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s