“ขณะที่เราวิ่งเทรลระยะไกล เราไม่ได้สู้กับความชันของภูเขา แต่เรากำลังสู้กับตัวเอง”
ต้นมกราคมปี 2017 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวสิงห์ปาร์คเชียงราย ครั้งแรกซึ่งในเวลานั้นผมมองออกไปหลังไร่สิงห์ที่ยาวสุดลูกหูลูกตาแล้วเห็นทรงของภูเขาที่อยู่รายรอบ แล้วเปรยว่าน่าขึ้นไปจัง

ไม่นานหลังจากนั้นผมก็ได้ยินข่าวการเปิดรับสมัครงานวิ่งที่ใช้ชื่อว่า Ultra Trail Chiang Rai (UTCR) ระยะ 122 km ปล่อยตัวจากไร่สิงห์ไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลัง แน่นอนว่าไม่ต้องตัดสินใจนานสมัครได้เลย


8 กิโลเมตรแรกคือการวอร์ม…
เส้นทางช่วงแรกผ่านหมู่บ้านคนทางเป็นเส้นทางถนนดินปนกับถนนซีเมนต์ความชันแทบไม่มีเลย สามารถวิ่งเคาะๆไปเรื่อยๆได้ จนผ่าน A1 ยังคงรู้สึกไม่เหนื่อยสามารถไปได้เรื่อยๆ
จงตามดาวเหนือนั่นไป
ท้องฟ้าไร้เมฆจนเราสามารถมองเห็นดวงดาวอย่างชัดเจน ตลอดเส้นทางสังเกตุเห็นดาวตกอยู่เป็นระยะๆ “เรากำลังมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ”
เส้นทางสลับขึ้นลงทางค่อนข้างรกและมีกิ่งไผ่ที่ตัดไว้อย่างลวกๆยื่นออกมาทิ่งแทงเราเล็กๆน้อยๆตลอดทาง
และแล้วก็พลาดจนได้ ขณะที่วิ่งลงอย่างสนุกสนานไม้ไผ่แหลมหนึ่งก้านแทงเข้าไปที่ตาขวาอย่างจัง จนกระเด็นล้มลงไปนั่ง ไฟฉายแขวนต่องแต่งอยู่กับกิ่งไม้…. ช่วงแรกแสบมากจนตาขวาลืมไม่ขึ้น แต่ก็ค่อยๆเดินค่อยๆปรับไปจนดีขึ้นทีละนิดๆ แต่ก็ต้องวิ่งด้วยตาซ้ายข้างเดียวอยู่พักใหญ่
เราค่อยๆข้ามภูเขาไปเรื่อยๆเป็นระยะทาง 11กิโลเมตร ผ่านความชันราวๆ 500 เมตร ตอนนี้ความชันสะสมบนข้อมือแสดงไว้ราว 640เมตรแล้ว ไม่นานเราก็ถึง A2 ที่นี่เราเริ่มเห็นคนป่วย! โชคดีที่มีกาแฟกระป๋องอยู่ที่ CP นี้เลยช่วยให้ผมหายง่วงไปได้บ้าง
นี่คือสิ่งที่เรามองหา
ช่วงกิโลเมตรที่ 21 – 23 เป็นวิวที่ผมอยากเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่มาไร่สิงห์ ขวามือมองเห็นเมืองเชียงรายอยู่ไกลๆ พระอาทิตย์กำลังขึ้นตัดกับขอบฟ้า ด้านซ้ายมือคือหลุบเขาที่สลับซับซ้อนที่คอยเก็บกักความชื้นเอาไว้กลายเป็นทะเลหมอกสวยงาม
ผมค่อยๆชื่นชมความสวยงาม หยุดถ่ายรูปครั้งแล้วครั้งเล่าจนพอใจ ราวๆ 6 โมงเช้าเราก็มาถึงบ้านจะนู

ระหว่างนั้นก็เริ่มแซงนักวิ่งคนอื่นๆมาหลายคน มีพูดคุยทักทายกันบ้าง ระหว่างนั้นมีพี่นักวิ่งท่านหนึ่งบอกว่า “ถ้าไปแบบนี้ได้เรื่อยๆจบ 26 ชั่วโมงสบายๆ เพราะนี่เร็วกว่าที่เค้าวางแผนไปถึง 1 ชั่วโมง” ทำให้ผมใจชื้นขึ้นมากว่าสนามนี่น่าจะจบแน่นอน!
สะพานไม้ไผ่สานที่ไม่ควรข้ามไป !!!
หลังจากลงจากบ้านจะนูเข้าถนนปูน ผมมองเห็นลูกศรชี้ไปทางซ้ายลงเขา แทบจะทันทีเส้นทางนำผมลงยาวไปจนถึงแม่น้ำป่าขม ข้ามสะพานไม้ไผ่สานที่ดูสนุกสนานและสวยงาม

หารู้ไม่ว่าสะพานไม้ไผ่สานนี้เป็นเส้นทางที่นักวิ่ง 122กิโลเมตรทุกคนจะไม่ได้ผ่าน!!!
ผมไล่ตามริบบิ้นสีแดงขาวไปเรื่อยๆ จนถึงหมู่บ้านสานตอ จากนาฬิกาที่ข้อมือตอนนี้ระยะทาง 27 กิโลเมตรแล้วผมควรจะเจอ A3 แต่เท่าที่เห็นยังไม่มี ตอนนี้เริ่มเอะใจเอาแผนที่ขึ้นมาดูแล้ว แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะนี่เราก็กำลังอยู่ในเส้นทางที่ถูกต้องนะ ….. เป็นไปได้ว่า A3 นั้นไม่ตรงตามแผนที่
เส้นทางยังคงชันขึ้นเขาไปเรื่อยๆทั้งที่จริงๆ กราฟความชันควรจะต้องลงได้แล้ว !
“ไกลเกินไปแล้วที่จะย้อนกลับ ยังไงก็ต้องตามริบบิ้นไปให้ถึง CP”
ประมาณกิโลที่ 28 มีชาวต่างชาติสองคนมายืนรอดักถ่ายรูป “Congratulation you’re the second place” คำนี้ทำเอาผมใจหายวาบ จากเดิมที่ยังไม่มั่นใจว่าเราหลงหรือเปล่าถึงตอนนี้มั่นใจเกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้วว่ามาผิดทางแน่นอน ในหัวพยายามหาความผิดพลาดของตัวเองว่ามันผิดตรงไหน เพราะนี่เราก็ตามริบบิ้นมาตลอดทางนี่หน่า….
ในที่สุดผมก็ถึง CP จนได้แต่ ณ ที่นี้ไม่ใช่ A3 แต่เป็น A5 !!!!
“เอ้าๆ ขึ้นมาเลยๆ” เสียงของพี่โอ ที่เฝ้าอยู่จุดนี้ร้องเรียกให้ผมขึ้นไปพักผ่อน แต่ผมทำได้เพียงร้องบอกว่าผมมาผิด CP ระยะในข้อมือตอนนี้ 29.5 กิโลเมตรกับความชันสะสมประมาณ 1100เมตร เราหลงมาไกลเท่าไหร่กันแน่เนี้ยะ?
หลังจากคุยสอบถามเส้นทางกันก็สรุปได้ว่าผมเผลอเลี้ยวตามลูกศรสีแดงมา (ลูกศรสีแดงเป็นของระยะ 66 กิโล ในขณะที่ 122กิโลเมตรจะใช้สีเขียว)
ในใจตอนนั้นคิดอยากจะ DNF ซะตั้งแต่ตอนนี้เพราะหลุดมาไกลแล้ว แต่ด้วยความที่เพิ่งเริ่มวิ่งเองยังคงมีเวลาเลยได้นั่งมอไซด์กลับไปที่หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุด(ทางลงลื่นเกินไปรถลงไปต่อไม่ได้) และวิ่งต่ออีก เกือบ 2 กิโลเมตรเพื่อจะกลับเข้าสู่ทางแยกที่ผมหลงมา (ถึงตอนนี้หลงไปแล้วราวๆ 7 กิโลเมตร)
ถึงตอนนี้จิตใจมันไม่อยากวิ่งแล้วได้แต่เดินๆ เคาะๆไปเรื่อยๆ….
A3 ที่พลาดไป
หลังจากวิ่งมา 6ชั่วโมง 26นาที ในที่สุดก็ถึง A3 จนได้ ตลอดทางไม่เจอนักวิ่งคนอื่นเลย ทำให้คำแรกที่ผมเอ่ยปากถามเจ้าหน้าที่ที่ประจำจุดคือ “ผมคนสุดท้ายแล้วหรือเปล่า?” เจ้าหน้าที่มองหน้าผมแบบงงๆ แล้วก็บอกว่ายังมีอีก 20 คน ผมใช้เวลาที่จุดนี้ค่อนข้างเยอะเพื่อพิจารณาว่าจะหยุดหรือไปต่อดี ค่อยๆกิน ค่อยๆเติมน้ำ ส่วนแสงแดดก็เริ่มแรงขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากอ้อยอิ่งอยู่ที่ A3 เกือบ 10นาทีไม่มีทีท่าว่าจะมีใครเข้า CP มาอีกก็เลยตัดสินใจค่อยๆ ออกเดินต่อไป ออกจากหมู่บ้านได้ไม่นานเราก็เจอกับสายน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งคือแม่น้ำกก แม่น้ำสายหลักที่หล่อเลี้ยงเมืองเชียงราย ไม่น่าเชื่อว่าจะทอดยาวมาถึงที่นี่
เริ่มเจอคน !
เดินไปได้ซักพักเริ่มเจอกับนักวิ่งที่ดูเหมือนบาดเจ็บ ก็สอบถามนิดหน่อยแต่ก็ช่วยอะไรมากไม่ได้จึงค่อยๆแซงมา ในใจเริ่มรู้สึกดีเพราะนี่หมายความว่าผมเริ่มตามกลุ่มข้างหน้าทันแล้ว
แล้วก็เป็นอยากที่คาด เมื่อถึง A4 ผมก็เจอกับนักวิ่งผู้หญิงอีกสองท่านนั่งพักอยู่ ท่านหนึ่งมาจากภูเก็ตอีกท่านเป็นคนมาเลย์เซีย เลยอาศัยเกาะกลุ่มไปกับเค้าด้วย อย่างน้อยมีเพื่อนวิ่งไปด้วยกันก็น่าจะหายเหงาไปได้บ้าง
เคลื่อนที่ไปซักเพียง 2-3 กิโลเมตรนักวิ่งชาวมาเลย์เซียเริ่มมีอาการไม่ดี เริ่มขอพักบ่อยขึ้น และเริ่มอ้วก ในที่สุดก็บอกให้ผมไปก่อนเนื่องจากจะขอนั่งพัก
ราวๆกิโลที่ 45 เราเริ่มเห็นเส้นทางที่ทางผู้จัดเคยบอกไว้ว่าจะต้องเดินข้ามน้ำ และเริ่มเห็นนักวิ่งที่อยู่ข้างหน้าเราเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ราว 8-9 คน จึงจัดแจงถอดรองเท้าเพื่อข้ามน้ำไป น้ำค่อนข้างแรงแต่เย็นซึ่งช่วยให้เท้าเรารู้สึกดีขึ้นมาหน่อย
ชิ-วิว คู่หูคู่ฮา
หลังจากข้ามน้ำมาได้ก็เริ่มตัดสินใจเร่งขึ้นมาอีกหน่อยเพราะเริ่มเดินช้าเกินไปแล้ว จนกระทั่งแซงนักวิ่งมาเรื่อยๆจนเจอกับคนคุ้นเคย ชิและน้องวิว @Kuna View Kunathinan หญิงแกร่งผู้ผ่าน 100 mile กรุงเทพ-พัทยา มาแล้วกำลังเดินอย่างสบายอารมณ์อยู่เลยเข้าไปแจมด้วย แน่นอนว่ารอบนี้สนุกสนาน เล่นมุกกันเฮฮาช่วยลดความเบื่อในการวิ่งไปได้บ้าง
หลังจากวิ่งมายาวนานถึง 10 ชั่วโมงในที่สุดถนนเส้นเดิมที่ผมเคยเดินผ่านไปเมื่อเช้าก็กลับมาอีกรอบ ผมกำลังเดินขึ้นสู่ A5 อีกครั้งคราวนี้ไม่หลงแล้ว แต่แดดของเชียงรายตอนเที่ยงวัน นั้นทำร้ายนักวิ่งอย่างมหาศาล ประกอบกับเส้นทางนั้นแทบไม่มีร่มเงาของต้นไม้เลยซักต้นเดียว ระหว่างทางหากแค่มีร่มเงาเล็กๆเพียงนิดเดียวก็ทำให้ทุกคนพร้อมใจกันเข้าไปพักหลบร้อนกันแล้ว เส้นทางขึ้น A5 ชันและยาวนานเหมือนมันจะไม่มีวันสิ้นสุดน้ำหยดสุดท้ายของผมหมดไปได้ซักพักแล้ว โชคดีที่มีน้องเจ้าหน้าที่ขี่มอไซค์สวนลงมายื่นโค้กให้ ทำให้พอประทังไปได้
A5 ครั้งที่สอง
จะมีนักวิ่งซักกี่คนที่เข้า A5 สองครั้งในวันเดียว …..
“เอ้า…มาถึงรอบสองแล้วเว้ยยย” เสียงพี่โอดังมาแต่ไกล ส่วนผมรีบเติมน้ำอัดลมกะน้ำเข้าไปชดเชยความร้อนที่แผดเผาร่างกายจนแสบไปหมด แล้วรีบหลบแดดเข้าที่ร่ม
จริงๆแล้วการได้กลับมาถึงตรงนี้ได้และเห็นนักวิ่งหลายๆคนนอนอยู่ในบ้านมันก็เป็นความรู้สึกที่ฟินระดับหนึ่งเหมือนกันนะ แต่ถ้าไม่หลงคงจะดีกว่านี้มาก ผมจัดแจงเอาน้ำราดตัว กินข้าวต้มไปได้นิดหน่อยเพราะด้วยความร้อนเลยกินน้ำไปเยอะจนมันเต็มท้องไปหมด โดยไม่ได้เอ๊ะใจเลยว่านี่จะส่งผลร้ายแรงภายหลัง
นาฬิกาในมือบอกเวลาบ่ายโมง แสดงว่าเราเข้ามาก่อน Cut off เพียงแค่ 2 ชั่วโมงเท่านั้นซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอามากๆ ถ้าเรายังใช้เวลาประมาณนี้ไปเรื่อยๆจะต้องโดน cut off ที่ CP ใดซัก CP เป็นแน่และทำให้ทั้งหมดที่ทำมาสูญเปล่า
ออกจาก A5 ผม ชิ และวิว เกาะกลุ่มกันเหมือนเดิม ผมเริ่มสาวเท้ายาวขึ้นทางลงเริ่มวิ่งลงบ้าง
การไปด้วยกัน 3 คนพูดคุยกันทำให้เส้นทางนั้นดูหดสั้นลงอย่างที่เค้าว่าไว้
if you want to go fast go alone, if you want to go far go together.
ราวๆ กิโลที่ 55 (ของผม) ต้องมีถอดรองเท้าข้ามน้ำกันอีกสองรอบ แบบทุลักทุเลกันพอสมควร
หลังจากนั้นอาการของผมอยู่ๆก็แย่ลง ความรู้สึกคลื่นไส้เหมือนจะอ้วก บวกกับอาการหิวเป็นเพราะในกระเพาะของผมแทบไม่มีอะไรอยู่เลยมีเพียงข้าวต้มถ้วยเล็กๆและน้ำอัดลมซึ่งตอนนี้คงหมดไปแล้ว อาหารในกระเป๋าที่พกมาก็มีเพียงอาหารเหลวที่ให้พลังงานเท่านั้น ซึ่งกรดในกระเพาะนั้นกัดผมอย่างเจ็บปวด และการอ้วกนั้นเป็นแบบที่ไม่มีอะไรออกมาเลยนอกจากน้ำย่อยรสเปรี้ยวอยู่ในปาก
เป็นอีกครั้งที่เราต้องไต่ความสูงจาก 600 ถึง 1100 เมตร ผมเริ่มไม่พูดกับใครทิ้งตัวห่างออกมาเดินหนีเพื่อจะไปให้ถึง CP ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยหวังว่าที่ A6 น่าจะมีของกินและจะอาศัยหลับซักงีบ แต่ไม่ว่าจะเร่งเท่าไหร่ความเร็วก็ยังอยู่ที่ราว 20นาที ต่อกิโลเมตรอยู่ดี ทำให้ต้องชั่งใจระหว่างนอนข้างทางกับอดทนเคลื่อนที่ไปถึง A6 ให้ได้
ติ้ดดด…. เสียงจากนาฬิกาที่ข้อมือบอกว่าระยะทางถึง 61 กิโลเมตรแล้ว
เวลาราวๆ 4 โมงครึ่ง ผมหันไปเห็น A6 ทางซ้ายมือพอดี cut off ของ CP นี้คือทุ่มนึง
“จบแล้วสินะความทรมาน ผมจะ DNF ตรงนี้”
ตามคาดที่นี่มีข้าวไข่เจียวซึ่งผมก็กินได้เพียงแค่จานเดียวเท่านั้น ตามด้วยน้ำหวานไปอีกแก้ว ผมจัดแจงเอาเสื้อกันฝนออกมาปูกลางสนามกีฬาแล้วนอน โดยคิดว่าเมื่อตื่นขึ้นมาน่าจะถึง cut off พอดีและจะได้กลับบ้าน…. แล้วพล่อยหลับไป….
“โหยยย พี่อาร์ทอ่ะวางยาผม” เสียงบ่นของชิดังขึ้นมา ทำให้ผมงงๆ เพราะเท่าที่จำได้ก่อนที่ผมจะหลับไปเห็น วิวกับชินั้นทำท่าเหมือนจะออกจาก A6 ไปแล้ว
สรุปว่าชิหยิบ trekking pole ของผมติดไปด้วยทำให้ต้องเดินย้อนกลับมาคืน ส่วนผมพยายามจะหลับตาลงนอนอีกรอบแต่ก็ไม่อาจหลับลงได้อีกแล้ว เลยลุกขึ้นมาดูเวลา “อีก ชั่วโมงครึ่งจะถึง cut off ” แต่ร่างกายยังไม่บาดเจ็บเลย ในที่สุดเลยตัดสินใจเก็บของแล้วออกเดินต่อ
“อย่างน้อยก็เดินไปเรื่อยๆจนโดนเก็บละกันนะ”
เดินมาได้ซักพักก็ตาม ชิและวิวทันอีกแล้ว …
ตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ทุกคนเริ่มควักไฟฉายออกมา ผมตั้งใจว่าคืนนี้คงได้ดูดาวอีกเหมือนเมื่อคืนแต่เมื่อมองไปบนฟ้ากลับพบว่ามีเมฆฝนก้อนมหึมาลอยต่ำลงมาเรื่อยๆ
เป็นไปตามคาดฝนค่อยๆตกลงมาหนักขึ้นๆ จนกระทั้งต้องควักเสื้อกันฝนออกมาใส่เพราะเงยหน้าไม่ได้เลย หมอกก็เริ่มลงจัดมากจนกระทั้งเรามองได้ไม่ไกลมาก
ตามแผนที่แล้วเราต้องขึ้นไปจุดที่สูงที่สุดที่ความชันประมาณ 1550 เมตร ฉะนั้นเส้นทางที่เราต้องเจอก็คือขึ้นเพียงอย่างเดียวจนสุดเมื่อสุดแล้วเราก็ต้องลงอย่างเดียวจนกระทั่งถึง A7 ซึ่งมี drop bag อยู่แล้วอาจจะได้พักที่นั่น
แน่นอนว่าหลังจากขึ้นจนสุดเมื่อถึงทางลงมาก็ค่อยๆตบเท้าเร็วขึ้นลงตามแรงโน้มถ่วงลงมาเรื่อยๆ จนทิ้งไฟของเพื่อนๆข้างหลังไปหมด โดยหวังว่าจะมี spare time ที่ A7 ซัก 2 ชั่วโมง แต่พอลงมาได้ซักพักก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ เพราะริบบิ้นข้างทางเริ่มหายไป แต่ตลอดทางที่เรามาก็ไม่มีทางแยกเลยนี่หน่า ทุกทางแยกที่มีเราก็มองอยู่ตลอดว่าไม่มีริ้บบิ้นนำทางไป ไม่น่าจะพลาดนะ จนกระทั่งมาเจอกับทางแยกที่เป็นด่านมีไม้กั้นของเกษตรที่สูง ตอนนี้เริ่มมั่นใจแล้วว่ามาผิดทางอีกแล้ว เลยตัดสินใจเปิดมือถือออกมาดูเผื่อว่าจะมีข้อมูลที่ใช้ประโยชน์ได้
แต่พอเปิดปั้บ ไมค์ @Wiwat Yingrum อีลีทผู้ยอมสละไข่เพื่อถ้วยได้ก็โทรเข้ามาพอดี เลยสอบถามเส้นทางกับไมค์พบว่าตัวเองผิดทางแน่ๆ ส่วนไมค์นั้นจะ DNF พอดีเพราะเอ็นร้อยหวายบาดเจ็บ
ในขณะที่คุยกับไมค์อยู่นั้น จู่ๆก็มีรถขับเคลื่อนสี่ล้อสวนมาพอดีพร้อมทั้งเปิดกระจกมาถามว่าจะไปไหน ผมเลยเล่าให้ฟังว่ากำลังมาแข่งวิ่ง พี่คนขับเลยแสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ในงานนี่แหละและกำลังจะไปรับคนที่ DNF ที่ A6 และคอนเฟริ์มอีกครั้งว่าผมหลงมาไกลแล้ว …..
หลงครั้งเดียวยังพอทน หลงสองครั้งนี่คงพอกันเสียที!!!!
เลยขอติดรถพี่เจ้าหน้าที่ไป ไปได้ซักพักก็เจอกับกลุ่มที่ตามมาซึ่งก็หลงเหมือนกัน เลยรับกลับไปด้วยเลย
พี่เจ้าหน้าที่ขับรถอยู่พักใหญ่ถึงจอดและชี้ให้เราดูจุดที่เราพลาดมา ซึ่งถ้ามาอีกกี่รอบก็คงพลาดอย่างแน่นอน เพราะป้ายเลี้ยวดันไปซ่อนอยู่ในพงหญ้าสูง ป้ายทุกอันอยู่สูงหมดจนกระทั่งถ้ามืดและฝนตก ไม่มีทางเลยที่จะมองเห็นป้ายเหล่านี้ ทางเลี้ยงเล็กและแคบมากสังเกตุยากมาก
วิว ชิ และนักวิ่งชาวญี่ปุ่นอีกหนึ่งคนตัดสินใจไปต่อที่ A7 (ซึ่งน่านับถือจิตใจมากๆ) ส่วนผมกับนักวิ่งมาเลย์อีกคนยอมแพ้แล้วนั่งรถไปรับนักวิ่งจาก A6 อีก 5-6 คนแล้วกลับไปยังไร่บุญรอด …..
ระหว่างทางกลับก็สำรวจตัวเองไปด้วย ความเหนื่อยความเจ็บนั้นยังน้อยกว่าตอนจบ ตระนาวศรี หรือ DNF ที่ CM6 เสียอีกแต่ที่ไม่ไปต่อก็ด้วยความท้อแท้อ่อนล้าเรื่องหลงทาง
เมื่อกลับมาถึงไร่บุญรอดก็เล่าให้เจ้าหน้าที่ฟัง ทางผู้จัดก็เข้ามาคุยว่าเป็นความผิดของเค้าเองที่ติดป้ายไม่ดียินดีที่จะให้เสื้อ finisher เป็นการชดเชย
ซึ่งแค่เพียงการที่ผู้จัดยอมรับว่าเป็นความผิดพลาด นั้นก็มากพอแล้วผมเลยไม่ได้ขอรับเสื้อ finisher เอาไว้
บทสรุป
สนามเชียงรายนี่เป็นสนามที่สนุกและไม่ยากเกินไปนัก แต่ปัญหาคือเรื่องของการจัดการมากกว่า ส่วนตัวคิดว่าป้ายที่เป็นสีๆแบบไม่สะท้อนแสงนี่ไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ งานที่ทำได้ดีมากเรื่องนี้คือ Columbia ที่ใช้ริบบิ้นในแต่ละระยะไม่เหมือนกัน หรือโป่งแยงที่ติดริ้บบิ้นได้ถี่สะใจมาก จนกระทั่งเมื่อเราไม่เห็นแล้วรู้สึกแปลกใจแน่นอน
การวิ่งอัลตร้ามาราธอนทุกครั้งมันคือการเดินทางเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ยิ่งภายในของเราอ่อนแอเท่าไหร่มันยิ่งมีเหตุผลมากขึ้นเท่านั้น และการมีเหตุผลนั้นเข้ากันไม่ค่อยได้กับการวิ่งระยะไกล
จะมีเหตุผลอะไรที่ทำให้คนเราต้องออกมาวิ่งบนภูเขาระยะทางเป็นร้อยๆกิโล? ผมก็ยังสงสัยเหมือนกัน