“ตี้ด ตี้ด ตี้ด ตี้ดดด…. ”
ผมเอื้อมมือไปปิดเสียงปลุกจากโทรศัพท์มือถือ หลังจากนอนไปได้แค่ชั่วโมงเดียว หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาที่ 20:40 “นี่ไม่ใช่เวลาปกติที่ควรตื่นเลย”
ความทรมานยาวนาน 20 ชั่วโมงกำลังเริ่มขึ้น
ผมจัดแจงเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดวิ่ง หอบหิ้วกระเป๋าใบจิ๋วและสัมภาระไปสวนลุม
ใช่เทศกาลบางแสนร้อยกำลังจะเริ่มขึ้นอีกแล้ว!
เทศกาลที่ผู้คนที่จิตใจเป็นหนุ่มสาวจะต้องหอบหิ้วสังขารของตัวเองผ่านแดดร้อนๆ และฝุ่นคละคลุ้งจากรถบรรทุกไปตามถนนบางนา-ตราด เพื่อไปยังเป้าหมาย “วงเวียนบางแสน” ให้ได้
ปีนี้เป็นปีที่สามแล้วที่ผมเข้าร่วมกับเทศกาลบ้าๆนี้
เทศกาลบ้าๆที่เคยเป็นแค่ภาระกิจเฉพาะกิจที่เอาคน 6 คนเดินทางไปบางแสนปีแรก กลายเป็นเทศกาลที่มีคนเข้าร่วมมากถึง 151 คนในปีที่สาม มีทีมงานคอย support มากมายมีระเบียบแบบแผนเยอะแยะไปหมด
แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้วัตถุประสงค์หลักของงานหายไป
วัตถุประสงค์ที่เราจะไปพิสูจน์ว่ามนุษย์มีศักยภาพที่จะทำอะไรที่ดูเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้แค่เรามีเพื่อนที่ดีและไม่ล้มเลิกไปกลางทางก็พอ
งานนี้จึงไม่เคยมีเหรียญรางวัล (เพราะทุกคนได้เหรียญนั้นในใจอยู่แล้วตอนมองเห็นวงเวียนบางแสนครั้งแรกหลังจากวิ่งมา100กิโลเมตร)
ไม่เคยมีถ้วยสำหรับคนที่ได้ที่หนึ่ง ไม่มีรางวัลสำหรับคนที่มาเร็ว
มีเพียงมิตรภาพระหว่างทาง เรื่องราวและความสำเร็จที่จะจดจำอยู่กับตัวเองไปอีกนานแสนนานว่าเราทำสำเร็จแล้ว(หลังจากก่นด่าคนจัดมาตลอดทาง)
แต่สำหรับผมปีนี้ความตื่นเต้นในปีแรกๆหายไปหมดสิ้นเหลือเพียงความอ่อนล้าและง่วง
นักวิ่งทยอยออกตัวจากสวนลุมไปทีละชุดๆ ตั้งแต่ 2 ทุ่มโดยมีเพื่อนๆ พี่น้องมาคอยส่งให้กำลังใจสำหรับ 100 กิโลเมตรแรกสำหรับหลายๆคน เราแปะมือให้กำลังกันขอให้มีความ “สุก” ทุกคน
22:00 ได้เวลาแล้วสินะ นักวิ่งชุดสุดท้ายออกตัวจากสวนลุม กองเชียร์แยกย้ายกลับไปนอนแต่หนังชีวิตเพิ่งเริ่มต้นขึ้น !!

ช่วงแรกการวิ่งยังคงเป็นแบบที่วางแผนไว้คือวิ่งสลับเดินและแวะปั้มต่างๆเป็นระยะๆ แต่ที่ไม่ได้วางแผนไว้คืออากาศที่แสนอบอ้าวโอบล้อมตัวอยู่ตลอดเวลาเรียกเหงื่อและความล้าให้ผมได้พอสมควร
กิโลที่ 14 อาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อที่น่องซ้ายเริ่มทำงาน มันไม่ใช่ตะคริวแต่เป็นอาการบาดเจ็บที่สะสมมานานเนื่องจากการไม่ยืดเหยียดหลังวิ่ง ทำให้ต้องปรับท่าวิ่งไปลงขาขวามากขึ้น ตอนนั้นหันไปบอกเพื่อนๆที่วิ่งด้วยกันว่าน่าจะวิ่งไปไม่ถึงพัทยาแล้วละคงหยุดแค่วงเวียนบางแสน
เหมือนทุกครั้งการวิ่งเป็นไปอย่างสนุกสนานเราคุยกันล้อเล่นกัน ทำเรื่องบ้าๆที่ปกติคงไม่ได้ทำกันไปตามเส้นทางที่เหมือนไม่มีวันจบสิ้น ความง่วงเข้ามาเล่นงานผมเป็นระยะๆ จนต้องซดเครื่องดื่มชูกำลังเพื่อเรียกความสดชื่น

บางนา-ตราด
เวลานึกถึงสนามบางแสนร้อยผมมักนึกถึงถนน บางนา-ตราด ก่อนเสมอภาพจำที่ชัดเจนที่สุดในใจผมคือแดดร้อนๆที่ไร้ร่มเงา มองไปข้างหน้าเห็นเพียงถนนยาวๆ การเดินสลับวิ่งที่ดูไม่ได้ทำให้ระยะการเดินทางของเรานั้นใกล้เป้าหมายมากขึ้นเพียงนิด และมันไม่เคยเปลี่ยน!

สะพานบางปะกงที่เราขับรถไม่ถึงชั่วโมงนั้นไกลเหมือนมันไม่ได้อยู่บนโลก
11:30 สะพานบางปะกง
ถ้านับตามระยะทางที่เราบนหน้าปัดนาฬิกาเราเคลื่อนที่ไปแล้วประมาณ 74 กิโลเมตรแต่สำหรับผมที่เคยผ่านบางแสนร้อยมาก่อนรู้เป็นอย่างดีว่านี่คือครึ่งทางเท่านั้น!
“วิ่ง 100กิโลเมตร นับครึ่งที่ 70!”
ใช้เวลาอยู่ราว 50 นาทีที่ร้านคุณเล็กสะพานบางปะกง แล้ววิ่งฝ่าแดดไปพร้อมกับเฮียเจ้ก สุวัฒนชัย ยืนนาน และ Primrose Permpoon
การเปลี่ยนท่าวิ่งไปลงน้ำหนักที่เท้าข้างขวาเริ่มส่งผลให้ตอนนี้ฝ่าเท้าข้างขวาเริ่มแสบประกอบกับมีทรายเข้าไปติดในรองเท้าทำให้ความแสบยิ่งทวีคูณเข้าไปอีก
15:30 พระยาสัจจา คือสัจจะของเวลา
“การวางมือไว้บนเตาร้อนเพียง 1 นาที ให้ความรู้สึกเหมือนเวลายาวนานกว่า 1 ชั่วโมง แต่การนั่งกับสาวสวย ๆ นาน 1 ชั่วโมง ให้ความรู้สึกเหมือนเวลาผ่านไปเพียง 1 นาที“
พระยาสัจจาให้สัจจะนั้นกับเรา
ถนนพระยาสัจจาไม่ได้ยาวมากอาจจะยาวเพียง 5 – 7 km เท่านั้นและใช้เวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมงเพื่อผ่านมันไป
แต่ส่วนใหญ่ผู้คนมักรู้สึกว่ามันช่างยาวไกลเสียเหลือเกิน
อาจเพราะความทรมานที่ผ่านมาถึง 90 กิโลเมตรเริ่มกัดกร่อนเราให้อ่อนล้าลงไป ระยะทางนั้นจึงดูยาวไกลเสียเหลือเกิน
17:45 เรานั่งพักชื่นชมพระอาทิตย์ตกอยู่แถวๆอ่างศิลาระยะทางเหลือไม่มากแล้วแสงยังพอมีอยู่ ตอนนั้นคาดคะเนเล่นๆว่าน่าจะเหลืออีกแค่ 4 กิโลเมตร ไม่น่าจะเกิน 1 ชั่วโมงเราน่าจะถึงหาดบางแสน

แต่เพียงหลังจากนั้นไม่นานลมเริ่มพัดแรงขึ้น ไม่ได้พัดธรรมดายังพัดเอาทรายและน้ำฟาดเข้ากับตัวเราและใบหน้าเรื่อยๆจนต้องคว้าหมวกกลับมาใส่อีกครั้ง เราพยายามเร่งเพื่อให้ไปถึงหาดก่อนฝนจะตกแต่ไม่ทันแล้ว
ฝนเทลงมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเราจึงตัดสินใจพักหลบฝนที่บ้านร้างแห่งหนึ่ง “อีก 2.7 กิโลเมตรเท่านั้น”
เราควรจะหยุดรอหรือไปต่อดี หลังจากตัดสินใจอยู่ราว 5 นาทีเราตัดสินใจไปต่อ
ท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำเราแค่มองหาทางที่เราจะก้าวไปทีละก้าว
ตอนนี้เราเปียกไปทั้งตัวแล้ว ความเปียกเริ่มไม่เป็นอุปสรรคสำหรับพวกเราอีกต่อไป
ชายหาดบางแสนยาว 2 กิโลเมตรสุดท้ายดูเหมือนเส้นทางปูพรมไปสู่เส้นชัยของเรา ฝนเริ่มซาลงผู้คนมองเราอย่างสงสัย เราเดินช้าๆเข้าสู่เส้นชัย
เส้นชัยที่ไม่จำเป็นต้องมีคนมาต้อนรับหรือปรบมือ เส้นชัยที่เราปรบมือให้กับความอดทนของตัวเองและคนอื่นๆที่ฝ่ามันมาด้วยกัน
ผมมองกลับไปดูวงเวียนบางแสน บอกลากับมันอย่างเงียบๆ เดินไปหาโรงแรมอาบน้ำ
จบลงไปอีกฤดูกับบางแสนร้อย ปีหน้าเจอกันอีกนะ

เยี่ยมมากค่ะ ปีหน้าลูกเจี๊ยบจะไป100บ้างงงง
ถูกใจLiked by 1 person