ลืมตอนเก่าๆไปแล้วใช่ไหม? คลิกกลับไปอ่านสิ
Kilimanjaro (บทเริ่ม)

Kilimanjaro (Moshi town)

Kilimanjaro (ป่าแอฟริกาในจินตนาการ)

Kilimanjaro (day 3: Shira ในสายหมอก)

Kilimanjaro (day 4: เหน็บหนาวและยาวนาน)

Kilimanjaro (day 5 : ข้าม the wall สู่ปากปล่องของปลายทาง)

Moshi town เป็นชื่อเมืองที่ผู้ที่ต้องการจะไปเยือน Kilimanjaro ส่วนใหญ่ต้องไปตั้งหลักที่นี่
ที่นี่เป็นเมืองที่คึกคักและมีพร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะโรงแรม, ร้านอาหาร, super market, ร้านแลกเงิน ว่ากันว่าเมืองนี้ถูกหล่อเลี้ยงโดยนักท่องเที่ยวที่เข้ามาหวังว่าจะได้ไปยืนบนยอด Kilimanjaro สักครั้งในชีวิต
ตามสถิติทั่วไปเฉลี่ยวนักท่องเที่ยว 1 คนจะจ้างคนพื้นเมืองที่นี่ถึง 6 คนตลอดระยะเวลาที่ใช้ในการปีน Kilimanjaro
และที่เมืองนี้เป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสกับชาว แอฟริกาเป็นๆครั้งแรก !!

ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ไม่มีข้อเท็จจริงใดๆเจือปน
“เท่าที่เห็นคนแทนซาเนียเป็นคนรักความบันเทิงมาก จะเห็นผู้คนยิ้มแย้มสนุกสนานกันอยู่ตลอด
แต่ก็นั้นแหละความสนุกสนานถึงเนื้อถึงตัวนี้สำหรับนักท่องเที่ยวเอเชียอย่างเราๆแล้ว คงรู้สึกเหมือนเป็นภัยคุกคามมากกว่า
      ตลอดเวลาที่เราเดินอยู่ในตลาดจะมีชาวแทนซาเนียเดินเข้ามาพยายามพูดคุย ชักชวน ซื้อขายแบบประชิดตัวอยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกอึดอัดไม่ปลอดภัย”

และแน่นอนด้วยความเปิดกว้างด้านอาหาร เราได้ลองพยายามชิมอาหารหลายๆอย่างและค้นพบว่ารสชาติพื้นฐานของที่นี่คือ…..

เหนียว!!! 

OK แม้ความหนียวจริงๆแล้วไม่ใช่รสชาติ แต่ทุกอย่างที่เป็นเนื้อสัตว์เหนียวหมด ไม่ว่าจะ ไก่, เนื้อวัว หรือแกะล้วนแต่ไม่สามารถเคี้ยวได้จริงๆ ฟันของคนที่นี่คงแข็งแรงจริงๆนั่นแหละ อาหารเหล่านี้ช่วย confirm เรื่องนี้กับเราได้อย่างดี แต่ยังมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ประสบการณ์การกินของผมเปลี่ยนไปตลอดกาลนั่นคือ …..

อาโวคาโดที่นี่รสชาติหวานนุ่มและมันกำลังดีเรียกว่ามีเท่าไหร่กินเท่านั้นเลยทีเดียว นอกจากนี้ผลไม้ส่วนใหญ่ที่นี่ล้วนลูกใหญ่โตทั้งนั้น

ถ้าอาหารในเมืองเป็นสภาพแบบนี้บนภูเขา Kilimanjaro ต้องแย่แน่ๆ นี่คือสิ่งที่คิดในใจหลังจากชิมอาหารไปหลายมื้อ 

และแน่นอนว่าเราต้องมาลิ้มลองของพื้นเมืองที่นี่

วันแรกยังคงเน้นกินๆ นอนๆ เป็นการปรับตัวให้เข้ากับที่นี่ก่อน
โดยทั่วไปสภาพอากาศไม่แตกต่างจากเมืองไทย มีความร้อนชื้นคล้ายๆกัน ต่างกันแค่ที่นี่ไม่ค่อยมีต้นไม้รกๆสักเท่าไหร่ สอบถามไกด์ได้ความว่าที่นี่มีแค่ 2 ฤดูคือ Wet season กับ Dry season หรือฤดูฝน กับไม่ฝนเท่านั้นเลยเป็นสาเหตุให้ต้นไม้ที่โตแตกต่างจากบ้านเราพอสมควร