จาก ភ្នំព្រះ (phnom preah)พนมพระ ถึง ខ្នង​ថ្មទា (หินเป็ดดำ) กับเส้นทางเดินป่าที่เป็นเอกลักษณ์

Posted by

ไม่ได้เขียนอะไรยาว ๆ มานานแล้วรู้สึกคันไม้มันคือขอเขียนยาว ๆ หน่อย

เผื่อใครอยากฟังเป็น version เสียงไปฟังได้ที่นี่

ทริปนี้เป็นทริปที่ปุปปับพอตัวคือไม่ได้วางแผนเองแถมยังลังเล ๆ ว่าจะไปไหนดี
ปกติแล้วช่วงสงการนต์โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ปี 2567 นี้เป็นช่วงเวลาที่ดีมากที่จะหายไปยาว ๆ เพื่อไปเทรคสัก 2 – 3 สัปดาห์ แต่ปีนี้ด้วยอารมณ์ที่สวิงไปมา ประกอบกับงานที่มันยุ่ง ๆ เลยทำให้ไม่ได้วางแผนอะไรเสียที

จนช่วงใกล้ ๆ ราว ๆ 2 – 3 สัปดาห์ถึงได้ลองมองหาทริปที่มีคนจัดดูว่ามีที่ไหนน่าสนใจบ้าง
เลยได้มาเจอกับ ประโยคที่ว่า

#เปิดทริปสำรวจ​ Phnom preach mt./Khnong Preah​ & Phnom chromus barang​ mt.​ กัมพูชา​ รับ 15 คน🌳#เดินป่ากัมพูชา​ 5​ วัน​ 4​ คืน เป็นป่าที่มีความหลากหลายมาก​ เหมือนภูกระดึง​ เหมือนทุ่งแสลงหลวง​ เหมือนเขาบรรทัด​ เหมือน​มอลาอิ​ ให้ตายเถอะสวยแท้ พรรณไม้คงละลานตา 

ให้ตายเถอะ มันดูน่าสนใจจริง ๆ !

ตัดสินใจไม่ยากไม่นานขอไปด้วยทันที …

ทริปนี้เริ่มต้นอย่างลวก ๆ และรวดเร็ว เพราะเราจะต้องออกจากกรุงเทพตั้งแต่ 5 โมงเย็นเพื่อจะไปถึงด่านคลองลึกให้ได้ก่อนด่านจะปิด ซึ่งจะปิดในช่วง 4 ทุ่มตรง
OK ถ้ากด Google Map ตรง ๆ เราสามารถเดินทางจากกรุงเทพไปยังด่านคลองลึก หรือด่านอรัญประเทศได้ภายใน 3 ชั่วโมงเท่านั้น แต่ไม่น่าจะใช่กับช่วงวันทำงานวันสุดท้ายของช่วงหยุดยาวสงกรานต์นี้แน่นอน

สุดท้ายเข้าด่านมาได้ตอน สี่ทุ่มสิบห้า ….เฉียดฉิวตั้งแต่เริ่ม

ซึ่งด้วยความเร่งรีบนี้ทำให้ไม่มีเวลาแม้กระทั่งแวะฉี่ในปั้มข้างทาง ไม่ได้แลกเงิน ไม่ได้กดเงิน ไม่ได้แวะเซเว่นใด ๆ ทั้งสิ้นเรียกว่าข้ามด่านมาแบบตัวเปล่าไม่ได้ซื้ออะไรมาเพิ่มเลย
ข้ามมาฝั่งปอยเปต เรามีรถ มินิบัส เก่า ๆ มารับ
ซึ่งเป็นรถมินิบัสแบบที่เบาะปรับเอนนอนไม่ได้ แต่ยังโชคดีที่แอร์ยังเย็นอยู่
ตามแผนคือเราจะต้องนั่งรถมินิบัสคันนี้ไปอีกราว 6 – 7 ชั่วโมง เพื่อไปยังจุดเริ่มเดิน

ซึ่งถ้ากดตาม Google Map แล้วเราจะเจอว่า
เราสามารถขับรถข้ามด่าน “บ้านท่าเส้น” ตรงตราดได้และไวกว่าราว ๆ 4 – 5 ชั่วโมง
แต่…!!!
มันไม่ได้เป็นอย่างนั้น !
ด่าน ทมอดา-บ้านท่าเส้น มีข้อพิพาทด้านความมั่นคงอยู่ตลอด จึงมีการเปิดให้เป็นช่องทางธรรมชาติผ่อนผัน
ให้ชาวบ้านเดินข้ามค้าขายกันได้เท่านั้นโดยเปิดแค่สัปดาห์ละ 3 วัน
ดังนั้นในความเป็นจริงเราไม่สามารถข้ามด่านตรงนี้ไปได้ แม้ Google จะอยากให้ไปก็ตาม

12 เมษายน 2567

รถมินิบัสลัดเลาะอยู่หลายโค้งและเข้ามาจอดที่เวิ้งหนึ่งที่เราไม่รู้จัก ช่วงเวลาประมาณ ตี 3 กว่า ๆ
ท้องฟ้าเปิดโล่งเห็นดวงดาวออกมาต้อนรับ แต่พอลงมาเราพบกับร้านรวงที่ ร้างว่างเปล่า
สิ่งก่อสร้างอะไรสักอย่างคล้าย ๆ ศาลา และสะพานลอย ที่ยังสร้างไม่เสร็จ
อากาศข้างนอกค่อนข้างเย็น และมีลมพัดตลอด บางคนตัดสินใจนอนข้างนอก
ส่วนผมขอเก็บความหนาวไปนอนในป่าดีกว่า เพราะทริปนี้ไม่ได้มีอุปกรณ์กันหนาวมาเลย
นอกจากเสื้อ Heat tech ultra warm ที่เป็น uniform ชุดนอนประจำยามเดินป่าของผม
พยายามนอนบนรถท่ามกลางกองกระเป๋าเดินป่าและเบาะแข็ง ๆ ได้ไม่นาน ก็ได้ยินเสียง
คนที่ออกไปนอนข้างนอกกลับมานอนในรถ ได้ยินแว่ว ๆ ว่าเค้าไล่มา
แล้วผมก็ไม่มีสติอะไรแล้วจากความอ่อนล้าที่ทำงานมาทั้งวัน …..

ตื่นมาตอนเช้าพระอาทิตย์เริ่มรำไรที่ขอบฟ้า ตรงนี้มีห้องน้ำให้เราทำธุระส่วนตัวได้ และพอล้างหน้าอาบน้ำได้เช่นกัน จากความมืดสลัวในตอนกลางคืนพอมาถึงตอนเช้าเราก็เริ่มเห็นว่าสภาพแวดล้อมที่เรานอนอยู่ตอนนี้นั้นน่าจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอะไรสักอย่าง ที่พยายามทำให้เป็นที่ท่องเที่ยวสุด ๆ
มีร้านกาแฟ ซุ้มกินข้าวแบบที่ร้านในกัมพูชานิยมทำกัน และร้านอาหารด้วย

ตื่นมาเจอสิ่งก่อสร้างที่สร้างที่คิดว่าสร้างไม่เสร็จเมื่อคืน จริง ๆ คือเค้าตั้งใจทำไว้แค่นี้ให้ถ่ายรูป…

ลองกด Google map ดูพบว่าเราอยู่ที่ พนม1500 (ភ្នំ๑๕๐๐) จริง ๆ คำว่า พนม หมายถึงภูเขา ส่วน 1500 นั้นเค้าใช้เลขแบบเดียวกับที่เราใช้เลขไทยจริง ๆ ซึ่งมันเป็นที่ท่องเที่ยวที่หนึ่งที่คนกัมพูชามาดูวิวถนนโค้ง ๆ
ถ้าเปรียบเทียบก็คล้าย ๆ กับ ถนนหมายเลข 3 ที่น่านนั่นแหละ

โค้งขดกันเป็นงู แต่คนที่นี่เรียกถนนปลาไหล หรือ eel road

ทีมเราใช้เวลาเตรียมตัวอยู่ที่นี่ค่อนข้างนาน ทั้งทำข้าวเที่ยงให้คนในทริป กินข้าวเช้า ล้างหน้า อาบน้ำ แปรงฟัน กินกาแฟ อาหารค่อนข้างแพง ข้าวจานละ 2 – 3 ร้อยบาท กาแฟแก้วละ 1 – 2 ร้อยบาท

เกร็ดคร่าว ๆ สำหรับการใช้เงินที่กัมพูชา 
จริง ๆ ค่าเงินอย่างเป็นทางการที่ชาวกัมพูชาใช้คือ เรียล หรือ Riel หรือ KHR
ส่วนใหญ่คนไทยจะแนะนำให้แลกเป็น USD ไป เท่าที่ลองมีทั้งกำไรและขาดทุนขึ้นอยู่กับที่
และบางที่ยอมรับธนบัตรไทยด้วย โดยเฉพาะเมืองที่ใกล้ชายแดนไทย โดยค่าเงินก็คิดง่าย ๆ ว่าตัด 0 ออกไป 2 ตัว
เช่น 10000 riel ก็เท่ากับ 100 บาท เป็นต้น
ส่วนเรท USD ก็มีคิดตั้งแต่ 30 - 40 บาท แบบงง ๆ แล้วแต่ว่าใครจะสะดวกคิดยังไง
ส่วนตัวแนะนำว่าแลกเงิน riel ไปเถอะ เหลือกลับมาก็ไม่กี่บาทหรอก อย่าไปเสียดายเลย
อาหารเช้าได้เป็นเนื้อผัดอะไรไม่รู้ สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แต่ข้าวอร่อยดีหุงสวย แน่นแต่ไม่แข็ง เนื้อผัดมาไม่สุกเกินแต่แอบเหนียว

ที่กัมพูชาฝั่งนี้นี่ข้าวอร่อย มากมาย อร่อยแบบที่ในไทยต้องไปกินร้านระดับน้อง ๆ มิชลินอ่ะ
แม้กระทั่งในป่าที่พี่ ๆ คนนำทางหุงก็ยังอร่อยเหมือนในเมืองเลย เรียกว่าข้าวอร่อยที่มันมีผลต่อการทำให้การกินมันเจริญอาหารไปด้วย ทั้งทริปน้ำหนักตัวขึ้นมาเกือบ ๆ 2 กิโล ยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าเป็นเพราะชนิดข้าว วิธีหุง หรือเพราะหม้อที่หุง (ที่นี่นิยมใช้หม้อโลหะ ที่ฝาหนักมาก ๆ ในการหุงข้าว นัยว่าเป็น presure cooker ไปในตัว)

หลังจากกินข้าวเช้าและเตรียมตัวเสร็จเรานั่งมินิบัสต่อไปยังจุดเตรียมของเดินที่เรานัดลูกหาบเอาไว้ซึ่งห่างจาก พนม1500 ไปแค่ราว ๆ 10 กิโลเท่านั้น
มารู้ภายหลังว่าที่นี่เหมือนเป็นที่ทำการของป่าไม้อะไรสักอย่าง
โดยเรามีลูกหาบ 4 คน ซึ่งแทบจำชื่อใครไม่ได้เลยเพราะชื่ออ่านยากทุกคน แต่ประกอบไปด้วย
1. ลุงเมียเด็ก ลุงอายุ 62 แล้วได้เมียอายุ 37 ลุงพูดไทยได้นิดหน่อย เป็นสื่อกลางเดียวระหว่างเรากับทุกคนในทริป ซึ่งทริปนี้อุปสรรคเดียวคือการสื่อสาร ไม่ว่าจะไทยหรืออังกฤษก็ไม่สามารถสื่อสารได้รู้เรื่อง แม้กระทั้ง google translate ยังต้องยอม ลุงเลยเป็น MVP ตัวจริงในทริปเลย เสียอย่างเดียวคือ ลุงไม่เคยมา !!!

2. น้องนักมวยกล้ามสวย น้องเป็นน้อยเขยของลุง น้องแบกหนักแข็งแรงถือขวานเป็นอาวุธประจำตัว เซ้นต์เดินป่าไม่ค่อยดี และเหนื่อยบ่อย แต่ดูแลดี

3. น้องอุ้ด เป็นคนเดียวที่จำชื่อได้เพราะน้องเป็นคนเดินนำเรา คือปกติถ้าทางชัด GPS ดีส่วนใหญ่เราจะเดินฉับ ๆ นำไปก่อน แต่น้องไม่ยอมจะพยายามนำให้ได้ เออ ตามใจ! แต่น้องเซ้นต์ดี คล่องแคล่ว และมีพลังของวัยหนุ่มที่ทำไงก็ฆ่าไม่ตาย

4. พี่คนนำทาง คือพี่แกเป็นคนเดียวที่เคยมาเส้นนี้! แต่เดินอยู่เกือบหลังสุด แบกไม่หนักมาก แต่เฮฮา ร้องเพลงตลอดทาง

ลืมถ่ายบ้านมา มัวแต่ถ่ายแมวอยู่ ไอ้สลิดนี่แสบ คือเรียกแล้วมาเล่นด้วยแต่เล่นมันส์ ๆ จะกัดเสมอ
รูปรวมก่อนเดิน ที่เหลือแทบไม่ค่อยมีรูปรวมกันแล้ว เครดิตใครหว่าเหมือนจะลุงวุฒิ

ทริปนี้ผมจัดหนักจัดเต็ม คือแบกเต้นท์หนัก 3 โล สำหรับนอน 3 คน พร้อมระเบียงหน้า อุปกรณ์กาแฟ และอื่น ๆ มาเพียบเพราะเท่าที่อ่านแล้วน่าจะเป็นทริปชิว แต่เรื่องจริง ไม่ได้เป็นแบบนั้นเท่าไหร่

Pack กระเป๋าเสร็จเราก็นั่งรถต่อไปตามถนนดำอีกแค่ 1 กิโลก็เจอจุดเริ่มเดิน

เห็นรูปนี้เริ่มเอ๊ะ ๆ ทำไมมันดูชัน ๆ

ช่วงแรกตั้งใจว่าจะเดินชิว ๆ เพราะทริปนี้เป็นทริปชิว ร่มไม้ก็พอมี อากาศร้อนแต่ไม่ได้ร้อนเดินไปนัก แต่พอเดินไปได้สักพักเริ่มมันส์กับความชัน เลยเดินตาม pace ปกติไปเรื่อย ๆ

เราเริ่มเดินที่ความสูง 656 เมตรจากระดับทะเล โดยต้องไปนอนที่ความสูง 1460 เมตรจากระดับทะเล …..
เห…. นี่มันชันนี่หว่า ทางเดินส่วนใหญ่เป็นหินผสมดิน และชันขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งวันเดินไปประมาณแค่ 7.5KM แต่ชันสะสม 810 เมตร โดยที่หยุดพักค่อนข้างบ่อยเพราะช่วงแรก ๆ เราพยายามพักตามคนอื่น ๆ จนช่วงสุดท้ายพอชันมาก ๆ ก็เริ่มเดินดุ่ย ๆ เพื่อจะขึ้นไปบนหลังแปอย่างเดียว

สภาพโดยรวมคือป่าใต้ผสมภูกระดึง คือตั้งแต่ความสูง 1000 ขึ้นไปเราจะเริ่มเจอกับป่าโบราญ มอสเขียว ๆ สเม็ดแดงบิดเกลียว และเห็ดแปลก ๆ อยู่เต็มไปหมด

สเม็ดแดงบิดเกลียว

เดินอยู่ 2 – 3 ชั่วโมงก็มาถึงหลังแป สภาพบนหลังแปคือภูหลวง ผสม ๆ กับภูกระดึง มีทุ่งกระจูด กับหม้อข้าวหม้อแกงลิงเป็นประชากรส่วนใหญ่ ที่เหลือพรรณไม้ก็ไม่ค่อยต่างจากภูหลวงเท่าไหร่นัก สภาพพื้นเป็นทรายขาวละเอียด

ถึงจุดตั้งแคมป์ 4:30 เนื่องจากคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าจะต้องนอนที่ไหน แต่พอขึ้นมาหมอกก็เริ่มไล่ขาวมาแล้ว

จุดกางเต้นท์ที่เรียกว่า Dining Area และความสูงที่ไม่ตรงปก

จุดที่เราตั้งแคมมป์นี้เรียกว่า พนมพระ หรือ ភ្នំព្រះ หรือ phnom preah
โดยพนมพระนี้อยู่ในเทือกเขาพนมกระวาน ซึ่งลากยาวมาตั้งแต่โป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรีไปทางตะวันออกเฉียงใต้ผ่านตราดแต่ส่วนใหญ่อยู่ในกัมพูชา โดยมียอดสูงสุดสูงถึง 1813 เมตรจากระดับทะเล อยู่ที่เขาพนมอาออรัล ភ្នំឱរ៉ាល់ แต่จุดพนมพระนี่เป็นจุดที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเยอะที่สุดเนื่องด้วยการเข้าถึงที่ไม่ง่าย หรือยากจนเกินไป และแนวเขาที่สวย

เอาเต้นท์ใหญ่อย่างควายมาเพื่อนอนแบบโอ้อ่า

สรุปกลุ่มที่ตามมาทีหลังเค้านอนกันอีกที่ เราจึงต้องปีนหน้าผาลงมากินข้าวอีกราว ๆ 3 – 4 ร้อยเมตร แต่ก็ OK เพราะด้านบนสวยและเย็นกว่ามาก

คืนนี้เบา ๆ กินข้าวนั่งคุยนิดหน่อยแล้วเข้านอน

13 เมษายน 2567

ช่วงเช้าแสงค่อนข้างสวยและข้างบนก็มีลักษณะของหินที่แปลกตา เราจึงเดินวน ๆ ถ่ายรูปเล่นอยู่พักใหญ่ ก่อนจะลงไปกินข้าวที่แคมป์กลาง คืนนี้มีน้ำค้างค่อนข้างแรงทำให้ทุกอย่างที่อยู่นอกฟลายชีทเปียกหมด แต่ก็ยังมีเวลามากพอให้ตากเต้นท์จนแห้งได้ทันก่อนออกเดินทางต่อ

วันนี้เราจะเดินไปนอนที่ ខ្នង​ថ្មទា หรือ คนองทมอตี้ โดย คนอง = ดำ, ทมอ = หิน, ตี้ = เป็ด หรือง่าย ๆ คือหินเป็ดดำ
ดูจากแผนที่ก็ไม่ไกลมาก และคนนำทางบอกว่าแค่ 3.5 กิโลเมตรเท่านั้น
ฉะนั้นวันนี้เราจะสบาย ๆ เดินไม่เยอะ ออกเดินตอนเที่ยง ๆ ก็ยังได้

แต่ทั้งหมดในย่อหน้าก่อนหน้า คือผิด !!!

เพราะในความเป็นจริงเราต้องเดิน 5.3 กิโลเมตร โดยสภาพเส้นทางผจญภัยใช้ได้เลย มีทั้งทางชันที่ต้องปีนป่าย ทางลื่น ทางกระโดด สารพัด และการเลือกเดินตอนเที่ยงทำให้เราต้องสัมปัสอากาศร้อนเต็ม ๆ ตั้งแต่เริ่มเดิน

คือถ้าดูจากเส้นความชันในแผนที่ ที่ยิ่งมันถี่เท่าไหร่ก็จะยิ่งชันเท่านั้น จะเห็นได้ว่า เราเดินผ่าความชันที่ชันที่สุดของเส้นทางลงมาดื้อ ๆ เลย คือถ้าให้เลือกฟันทางมาเอง คงเลือกอ้อม ๆ เทือกเขาแทนที่จะลงเหวมา
แต่ก็พอเข้าใจเพราะต้นไม้บนยอดเป็นไม้แคระเสียเป็นส่วนมาก มันเลยค่อนข้างรกและฟันยาก การเลือกไต่ร่องน้ำตกลงมาและปีนดื้อ ๆ กลับขึ้นไปอาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้

แต่เอาเป็นว่าเซอร์ไพร์ ขนาดผมที่ปีนขึ้นปีนลง ถนัด ๆ ยังรู้สึกว่าเอ๊ะ ที่มันเกินคาดเดานะเนี้ยะ
โดยมีพี่บอย ที่มีแค่แขนเดียวตามมาไม่ห่างมาก นับถือจริง ๆ

พี่บอยอายุ 52 แล้วมีมือข้างเดียวแต่ฟิตสุด ๆ

แต่ตลอดเส้นทางเดินของวันนี้นั้นสวยมาก เป็นเส้นทางที่ประกอบไปด้วยมอสเขียว ๆ ทางน้ำชื้น ๆ สดชื่น เห็ดหน้าตาน่าสนใจและกล้วยไม้เล็ก ๆ จำนวนมาก ถือว่าคุ้มค่าความยากลำบากที่ผ่านมา

หลังจากเดินมาได้ราว 2 ชั่วโมงฝนก็เริ่มตกลงมา เริ่มจากเบา ๆ ไปจนกระทั่งหนัก สลับกับหยุดเป็นระยะ ๆ
ซึ่งด้วยการฝนตกนี้ทำให้เส้นทางที่เราเดินลื่นขึ้นมาอย่างมาก จากมอสแห้ง ๆ เมื่อโดนฝนก็กลายเป็นพื้นหินลื่น ๆ ไปในทันที ทำให้ต้องใช้ความระมัดระวังตัวอย่างมาก
ช่วงสุดท้ายเราต้องปีนป่ายระดับ 80องศา ขึ้นไปบนหลังแปซึ่งด้วยความลื่นและกระเป๋าใบใหญ่ที่แบกมาก็ถือว่าเป็นอุปสรรคพอสมควร ถึงตอนนี้แอบลุ้นในใจว่าจะมีใครงอแงหรือเปล่า เนื่องด้วยความงอแงนั้นเป็นเหมือนไวรัส เมื่อวันเกิดขึ้น มันอาจแพร่ต่อหาคนอื่นได้โดยง่าย เพราะเอาจริง ๆ ก็ไม่มีใครคาดคิดว่าจะต้องมาเจอเส้นทางที่ท้าทายในระดับนี้มาก่อน

ราว 4:30 เราก็เอาตัวเองมาถึงหลังแปจนได้

หมอกขาวปกคลุมแบบ 100% เมื่อตอนขึ้นมามองไม่เห็นอะไรเลย นอกจากพื้นหินราบ ๆ ที่แตกเป็นร่องใหญ่ ๆ

หลังจากขึ้นมาได้ไม่กี่นาทีฝนก็กระหน่ำลงมาอีกรอบ รอบนี้หนักหว่าเดิมและบนหลังแปไม่มีที่พักให้หลบฝนใด ๆ

ฝนกระหน่ำลงมาทันที

แน่นอนว่าจังหวะแบบนี้สิ่งที่เราต้องการคือการตั้งแคมป์เพื่อหลบฝน แต่เนื่องด้วยกำแพงทางการสื่อสารที่เราข้ามมันไปไม่ได้เราไม่สามารถสื่อสารกับคนนำได้ว่าเราต้องต้องตั้งแคมป์ตรงไหน และตรงไหนคือหินเป็ด

เมื่อสื่อสารกันไม่ได้ และไปไหนไม่ได้ผมจึงเริ่มต้นทำสิ่งที่ทำได้ก่อน นั่นคือ

การควักอุปกรณ์อาบน้ำขึ้นมาเพื่อ ล้างหน้า สระผม และซักเสื้อผ้ามันกลางฝนนี่แหละ
ก็ในเมื่อหนีมันไม่ได้ก็ enjoy กับมันแล้วกัน ….

หลังจากจัดการตัวเองเรียบร้อยคนอื่น ๆ ก็ทยอยตามขึ้นมา เมื่อขึ้นมากันเกือบครบ ก็ถึงคราวที่คนนำ นำเราเดินไปยังหินเป็ด หรือที่ที่เราจะต้องตั้งแคมป์เสียที

ภาพบนคือสภาพที่เราเดินมาเห็นซึ่ง มันไม่เห็นจะเป็นเป็ดตรงไหนเลย
ภาพล่างคือเดินวนอยู่พักนึงจึงได้พบกับความเป็นเป็ด

มาถึงแล้วก็ขี่เป็ดกันหน่อย

เราจัดแจงหาที่ตั้งแคมป์ ส่วนใหญ่ก็ตั้งกันบริเวณใกล้ ๆ กับหินเป็ดนั่นแหละ ส่วนผมเนื่องจากแผนเดิมเราจะตั้งแคมป์กันอยู่ที่นี่สองคืน เลยขอปลีกวิเวกไปนอนที่เรียบ ๆ ไกล ๆ หน่อย

ไปอยู่โดดเดี่ยวไกล ๆ โน้นเลย แต่ชอบนะ สวยดี

สรุปวันนี้เดินไป 5.3 กิโลเมตร กับเส้นทางเถื่อน ๆ

หลังจากที่ทุกคนมาครบ เราเริ่มตั้งแคมป์และวางแผนกันใหม่ จริง ๆ แผนเดิมคือเราจะเดินไปยอดจมูกฝรั่ง ซึ่งระยะทางคือเดินไป 4 กิโลเมตร และเดินกลับอีก 4 กิโลเมตร แต่จากระยะทางวันนี้ทำให้เราเริ่มไม่แน่ใจว่า 4 กิโลเมตรที่ว่านั้นมาจากไหน และจะได้ 4 กิโลเมตรจริง หรือเปล่า
อีกอย่างที่น่ากังวลคือการลง เพราะเส้นทางที่เรามาค่อนข้างอันตราย การลงอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ แน่นอนว่าคงต้องใช้ความระมัดระวังและเวลาในการเดินทางมากขึ้น เราจึงตัดสินใจไม่ไปต่อ

พรุ่งนี้เราจะเดินย้อนกลับไปทางเดิม เพื่อจะได้มีเวลาในการเดินอย่างระมัดระวังมากขึ้น
ผมเสนอให้นอนที่ทางราบก่อนปีนขึ้นเขาลูกสุดท้ายมาเพราะมันเป็นที่ราบ กว้าง วิวสวย และมีน้ำให้เราเล่นเกินพอ
เนื่องจาก 2 คืนที่เราอยู่ตอนนี้แทบไม่มีแคมป์ไหนให้เราสามารถเล่นน้ำได้เลย

ค่ำคืนผ่านไปด้วยการแลกเปลี่ยนบทสนทนาในบรรยากาศแห่งขุนเขาที่ชื้นและเย็น

14 เมษายน 2567

วันนี้เรารู้ตัวแล้วว่าเดินไม่ไกล แต่ ๆ แค่ราว 2.5 กิโลเมตรเท่านั้น ช่วงเช้าเราเลยชิว ๆ ชมพระอาทิตย์ถ่ายรูปกันก่อน

ภาพแรกคือยอดเขาที่เราว่าจะไป แต่ไม่ได้ไป

มีเวลานั่งชงกาแฟชมวิว รอตากเสื้อผ้าจนแห้ง

ช่วงสาย ๆ แดดเริ่มแผดเผา ผมเก็บของทั้งหมดขึ้นไปหาเพื่อน ๆ โดยขอล่วงหน้าไปก่อนเพื่อมองหาที่ผูกกระเป๋าลงไปข้างล่าง เพื่อความปลอดภัย เนื่องจากทางลงค่อนข้างอันตราย

นี่คือความชัน 80 องศาที่เราปีนขึ้นมา ขาลงนี่ลำบากแน่นอน

หลังจากยักเย้ยักยันอยู่พักนึง ทดลองห้อยกระเป๋าลงมา ทดลองปีนลงมา ก็พบว่า

การติดกระเป๋าไว้ที่หลังแล้วค่อย ๆ ลงมาน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
แทนที่จะหย่อนกระเป๋าลง การทำให้บันไดแข็งแรงและค่อย ๆ บอกไลน์ในการเดินลงมาน่าจะดีที่สุด

ใช้เวลาราว ๆ 3 ชั่วโมงทุกคนก็ทยอยลงมาถึงพื้นล่างอย่างปลอดภัย
เราถึงแคมป์กันประมาณบ่าย 2

เราตั้งชื่อแคมป์ว่า สนเดียวดาย เนื่องจากสนต้นเดียวในรูปนี่แหละ ทั้งป่ามีต้นเดียวจริง ๆ

วันนี้ถือเป็นการพักผ่อนจาก 2 วันที่ผ่านมา เราได้เล่นน้ำ ทำกับข้าว สบาย ๆ ช่วงบ่ายฝนก็ไม่ตกลงมาหนักด้วย
ที่แคมป์นี้แม้จะเป็นกลางหุบเขา แต่ก็เป็นแคมป์ที่เย็นมาก เรียกได้ว่าเย็นสุดในทุกคืนที่ผ่านมาก็ได้
อาจเป็นเพราะอิธิพลของน้ำที่อยู่ติดกับแคมป์เลยก็เป็นได้
คืนนี้เราเผาแอลกอฮอล์เราไปจนหมดสิ้น เรียกว่าของไม่พอเลยก็ว่าได้

15 เมษายน 2567

เดิมทีเราตั้งใจว่าจะไปนอนที่ Mos Hunting Camp ซึ่งเลยไปจาก แคมป์พนมพระไปอีก 2 – 3 กิโลเมตรเพื่อย่นระยะเวลาในการเดินทางกลับให้สั้นลงจะได้ไม่ต้องลุ้นกับด่านมากเหมือนขามา

และอีกอย่างที่เราเพิ่งพบคือ อาหารบางส่วนที่เราเตรียมมาหายไป
ทำให้วันนี้เราไม่มีข้าวเที่ยง pack ไปเดินระหว่างทางเหมือนปกติ แต่เราต้องเดินไปกินข้าวเที่ยงที่แคมป์พนมพระแทน เราออกเดินประมาณเกือบ 9 โมง ไปถึงแคมป์พนมพระราว ๆ 11 โมงเท่านั้น
มื้อเที่ยงเรามีต้มยำปลากระป๋องที่มีโควต้าประกระป๋องคนละ 1 ชิ้น
แต่ละคนเริ่มเอาของกินของตัวเองมาเสริมบ้างแล้ว

ระหว่างที่ผมนั่งเพลิน ๆ อยู่นั้น ก็มีเสียดังขึ้นมาถามว่า

ถ้าเราจะลงไปถึงข้างล่างเลย จะได้มีปาร์ตี้ มีเบียร์กินจะไหวไหม?

ได้ !!!!! ผมตอบโดยไม่ต้องคิดเลย

แม้อาจมีความกังวลอยู่บ้างว่าเราค่อนข้างทำตัวชักช้ามาตลอดวัน
คือในช่วงที่ถามนี้ก็ปาเข้าไปบ่ายโมงแล้ว แล้วกลุ่มหลังสุดจะลงไปถึงกี่โมง จะมืดหรือเปล่า
แต่พอลองคำนวณง่าย ๆ เราเหลือระยะทางอีกราว 6.5 กิโลเมตร และไม่มีทางเทคนิคอลแล้ว
ถ้าใช้เวลา ครึ่งชั่วโมงต่อกิโล อย่างแย่ก็คง 3 – 4 ชั่วโมง เราทุกคนน่าจะถึงบ้านคนนำทางได้ก่อนมืด

จากวันชิว ๆ กลายเป็นหนังชีวิตทันที

ผมเดินนำออกมาก่อน ปล่อยให้อีกกลุ่มไปถ่ายน้ำตก ที่ไม่มีน้ำ
จริง ๆ ต้องบอกว่าขาลง ง่ายกว่าที่คิด จริง ๆ เราใช้เวลาแค่ 15 – 20 นาทีต่อกิโลเมตรเท่านั้น
และเดินลงมาโดยแทบไม่พักเลย เพียง 2 ชั่วโมงนิด ๆ เราก็มาเจอกับถนนลาดยางข้างล่าง

แทบทุกคนถ่ายกับหลักกิโลอันนี้ เหมือนเป็นสัญลักษณ์ว่า มันจบแล้วคร้าบบบบ

สรุปวันนี้เราเดินไป 11 กิโลเมตรและเดินลง ดิ่ง ๆ ไป 983 เมตร

เป็นอันจบการเดินทาง 5 วัน 4 คืนที่เหลือ 4 วัน 3 คืน ในป่า

เดินจริง 26.27KM กับความชัน 1.37 KM ถือว่าไม่ลำบากเท่าไหร่

สรุป

เป็นทริปที่สวยงามแปลกตาดี แม้ว่ามันจะไม่ได้ถึงกับว่าแปลกแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แต่ก็แปลกในรูปแบบที่ผสมผสานเอาหลาย ๆ อย่างมารวม ๆ กัน ถ้าได้มาหน้าฝนคงสวยสะใจ
คนนำทาง ดูแลช่วยเหลือดี แม้จะมีปัญหาการสื่อสารกันสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคใหญ่ขนาดนั้น
เพื่อนร่วมทริป สนุกสนานเฮฮา ไม่งอแง ถือเป็นลาภอันประเสริฐ

ใส่ความเห็น