40 ข้อคิดการใช้ชีวิต เมื่อใช้ชีวิตมาจนอายุ 40

Posted by

ความรู้สึกเหมือนเพิ่งเขียนบทความเรื่อง 30 ข้อคิดการใช้ชีวิตเมื่อผมใช้ชีวิตมาจนนำหน้าด้วยเลข 3 ไปเมื่อ 3 เดือนก่อนนี้เอง แว่บเดียวชีวิตก็กระพริบผ่านไป 10 ปี …

ในบทความนั้นผมเริ่มต้นในย่อหน้าแรกด้วยคำว่า

“วันนี้ใช้ชีวิตมาครบ 30 รอบฤดูสำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง แต่มั่นใจมากว่ามีความสุขในระดับหนึ่งที่ตัวเองค่อนข้างพอใจ เลยขอสรุปมาแชร์ให้อ่านกัน”

ข้าพเจ้าเองในวัย 30

พอกลับมาอ่านแล้วพบว่า ชีวิตตอนนั้นมันช่างอหังการยิ่งนัก มันมั่นใจมาก ว่าตัวเองมีความสุขและจะมีความสุขได้ยาวนานไปตลอดชีวิตซึ่ง มันไม่จริงเลย

ข้าพเจ้าในวัย 30 นั้นมีความสุขจริง ๆ และเต็มไปด้วยความหวัง
แม้จะเริ่มเข้าใจความจริงในชีวิตมาบ้าง แต่ก็ยังไม่ได้รู้ซึ้งถึงมันจริง ๆ
เหมือนเคยเห็นความคมของมีดที่เฉือนผ่านกระดาษ แต่ไม่เคยโดนมีดบาดจริง ๆ

ในวัย 40 ชีวิตเหมือนโดนมีดบาดซ้ำไป ซ้ำมา
บางครั้งเราอาจคิดว่ามันบาดจนเราชินแล้ว เราอดทนได้
แต่ก็จะพบกับการบาดที่ลึกและรุนแรงกว่าเดิม เสมอ ๆ
เหมือนเป็นเกมส์ ที่มีเลเวลถัดไปรออยู่ตลอด เป็นเกมส์ที่อาจจะไม่มีด่านสุดท้าย รออยู่

ในด้านที่ดีมันทำให้ตัวข้าพเจ้าในวัย 40 กลายเป็นมนุษย์ที่ปล่อยวางลงได้บ้าง
แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมด แต่นั่นก็มากพอให้โทนข้าพเจ้าในวัย 40 กลายเป็นมนุษย์ลุงที่ใส่เสื้อสีเทา ๆ
ไม่ได้มีสีสันสดใส เหมือนสมัย 30 แล้ว และในบทความนี้ก็จะสรุปและสะท้อนออกมาเป็น “ข้อคิด”
ที่ไม่ได้ตั้งใจจะสั่งสอนใคร แต่เป็นภาพสะท้อนในใจของตัวเอง

  1. ชีวิตที่ดีเริ่มที่ร่างกายที่ดี คำว่าร่างกายที่ดีที่ว่านั้นกว้างขวางไปกว่าการออกกำลังกาย หรือมีร่างกายที่แข็งแรง แต่หมายถึงสมดุลของร่างกายทั้งหมดด้วย ความเครียด ฮอร์มโมน การเจ็บป่วย กรรมพันธุ์ ทั้งหมดเป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกันไปมา และส่งผลต่อกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และไม่ว่าจะไปอ่านเรื่องการพัฒนาตัวเองในบทความ หรือหนังสือเล่มไหน เรื่องนี้ก็จะเป็นเรื่องแรกที่ทุกคนพูดตรงกันเสมอ จงรักษาร่างกายเอาไว้ นอนให้พอ กินให้เหมาะกับตัวเอง เคลื่อนไหวร่างกายให้พอดี รักษาระดับความเครียดต่อความภาคภูมิใจให้สเถียร ทั้งหมดนี้ยาก หากแต่ต้องทำ ทำเหมือนมันเป็นเรื่องจำเป็นในชีวิต และไม่ต้องผิดหวังหากมันจะพลาดไปบ้าง
  2. อะไรที่มากเกินไปคือพิษ! มันหมายถึงทุกอย่างจริง ๆ และวลีนี้เป็นจริงเสมอกับทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็น เงินทอง ชื่อเสียง อำนาจ การออกกำลังกาย การกิน ดังนั้นเลยจำเป็นอย่างยิ่งที่จะ
  3. จงกระจายให้หลากหลาย การมุ่งมั่นทำอะไรบางอย่าง อย่างไม่ลดละเพียงอย่างเดียว แม้มันจะดูเท่เสียเหลือเกิน ซึ่งข้าพเจ้าในวัย 30 ก็เคยหลงไหลแบบนั้น และก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องราวที่น่าภาคภูมิใจที่ยังเอามาเล่าขานอยู่ในทุกวันนี้ แต่การทำอย่างเดียวไปเรื่อย ๆ อย่างมุ่งมั่นจริงจัง สุดท้ายจะกลายเป็นพิษร้ายที่กลับมาทำลายเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องนี้ก็สามารถเอาไปใส่ได้กับทุกอย่างเช่นกัน การทำงาน การเรียน การกิน การนอน การออกกำลังกาย
  4. ชีวิตของคนเราเดินทางบนเส้นกาลเวลาที่เป็น exponential ไม่ใช่ Linier จำได้ไหม เมื่อตอนเรายังเด็ก กว่าจะผ่านพ้นเรียนจบประถม หรือมัธยมมันยาวนานแค่ไหน เทียบกับช่วงที่ทำงานเพียงพริบตาเดียว 10 ปีก็ผ่านพ้นไปแล้ว ช่วงเวลาของเราทุกคนสั้นลงในสมองของเรา
  5. พื้นฐานคือทุก ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างกาย ความรู้ การออกกำลังกาย การลงทุน หากเรามุ่งแต่จะเอาประโยชน์ที่ปลายทางโดยมองข้ามพื้นฐานแล้ว สุดท้ายมหาวิทยาลัยชีวิตจะบังคับให้เรากลับมาลงเรียนพื้นฐานอยู่ดี ซึ่งเสียเวลาและต้นทุนมาก การเริ่มต้นจากพื้นฐานแม้มันจะรู้สึกเชื่องช้าน่ารำคาญ แต่ก็เป็นวิธีที่เราจะไม่ต้องลุ้นว่าเราจะต้องกลับมาลงเรียนซ้ำหรือเปล่า
  6. ทุก ๆ อย่างคือพื้นฐาน ในทางกลับกันแนวคิด วิธีการ แนวทาง ของทุกอย่างจะกลับไปที่พื้นฐานที่มีแนวความคิดคล้าย ๆ กัน คือมันเป็นไปได้ที่แนวความคิดที่เราเรียนรู้มาจากศาสตร์นึงจะเชื่อมโยงไปยังแนวความคิดพื้นฐานของอีกศาสตร์นึง ซึ่งเมื่อเข้าใจมันอย่างแท้จริง เราจะสามารถต่อยอดออกไปได้เรื่อย ๆ แทบไม่จบสิ้น
  7. เอาสิ่งที่อยู่ในหัวออกมาข้างนอกเสียบ้าง สมองของคนเรานี่มหัศจรรย์มาก คือมันมีวิธีการจัดวางเอาก้อนความคิด หรือไอเดียไว้ได้แบบมีประสิทธิภาพแบบสุด ๆ แต่ด้วยพื้นที่ที่จำกัด การวางแบบนั้นจะมีการ codec เอาไว้ด้วย ดังนั้นการ decode มันเสียบ้างแล้วเอาออกมาข้างนอก ไม่ว่าจะเป็นการเขียน การพูด การถกเถียง จะช่วยให้เราเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น บางครั้งมันเป็นการเข้าใจสองชั้น คือเข้าใจสิ่งที่เราเข้าใจอยู่แล้ว ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก
  8. คนโง่และ มั่นใจในตัวเองมีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จเร็วกว่าคนฉลาด (ลองไปอ่าน Dunning-Kruger effect)
  9. เพราะโอกาสคือ Key of success คนที่มั่นใจจึงมักได้โอกาสมากกว่าคนที่ไม่มั่นใจ
  10. แต่คนโง่ที่มั่นใจว่าตัวเองฉลาดก็คือหายนะดี ๆ นี่เอง เราจึงเห็นหายนะอยู่เนื่อง ๆ ในทุก ๆ วงการ
  11. คนในข้อ 8 มีแนวโน้มจะล้มเหลวในระยะกลาง แต่ถ้าผ่านพ้นและเรียนรู้ได้อาจจะประสบความสำเร็จในระยะยาวได้
  12. ส่วนคนฉลาดที่มั่นใจในตัวเองนั้นแทบไม่มี
  13. โง่ หรือ ฉลาด นั้นไม่ได้มีคำนิยามตายตัวแม้แต่วันนี้ก็ยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ เป็นเพียงคำเรียกรวม ๆ ที่ทำให้สามารถนิยามคนเป็นกลุ่มก้อนได้ง่าย ๆ เท่านั้นเอง
  14. ดังนั้น จาก 6 ข้อข้างบน สิ่งที่สำคัญในการประสบความสำเร็จคือความมั่นใจ
  15. หรือไม่ก็เป็นการพยายามเสแสร้งว่ามั่นใจ (ลองอ่าน Fake it until you make it)
  16. เพราะความมั่นใจมันเหมือนอณูของเหงื่อ มันกระจายรอบห้อง มันแพร่ไปยังคนที่เราคุยด้วย ผ่านคำพูด ตัวอักษร หรือแม้แต่ท่าทาง อันนี้เป็นปริศนามากคือรู้ว่ามันมีแต่หาต้นตอไม่เจอ
  17. บางครั้งการพยายามทำให้บทความยาวขึ้นโดยไม่จำเป็น ก็ทำได้โดยการเขียนให้มีข้อเยอะ ๆ อย่าง 10 ข้อด้านบนนี้
  18. การบันทึกอย่างต่อเนื่องทำให้ตัวเราในอดีตกลายเป็นครูที่สอนเราในปัจจุบัน ดังนั้นมันคุ้มค่าที่จะลงทุนเวลาไม่นานในแต่ละวัน บันทึกและสะสม เพื่อให้เป็นบทเรียนแก่เราในอนาคต
  19. มนุษย์มีเศษของเวลาในแต่ละวันเสมอ และการที่เราจะเป็นใครนั้นอยู่ที่การใช้เศษเวลาตรงนั้นแหละ เราอาจจะเป็นนักเขียน เป็นนักลงทุน เป็นเกมส์เมอร์ หรือเป็นคนที่เข้าในสังคมรอบข้าง ก็อยู่ที่การเลือกใช้เศษเวลานั้น หากยังไม่เคยใช้ จงระลึกไว้ว่ามันมีสิ่งนั้นอยู่แล้วครั้งหน้าเราอาจนึกได้ว่าเราอยากเอาเศษเวลานั้นไปทำอะไร
  20. บางครั้งเราก็จำเป็นที่จะต้องเดินไปที่หน้าผาก่อนจึงจะพบว่ามีทางที่ไปต่อได้ ก้าวไปทีละก้าว ค่อย ๆ หาทางไป
  21. การพัก การถอยหลัง ย้อนกลับ ไม่ได้เป็นเรื่องที่แย่หากแต่การพัก การถอยหลังก็เป็นส่วนหนึ่งของการไปยังทิศทางที่ถูกต้องเช่นกัน
  22. สังคมมักมีครรลองให้เราเดินตาม ครรลองนั้นเกิดจากการทำซ้ำไป ซ้ำมา และเรียนรู้จนกลายเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่ง เหมือนเส้นทางเดินลัดสนามที่มีคนนับร้อยนับพันเดินมาก่อนหน้า แต่ไม่ใช่ว่าทางเดินนั้นจะดีที่สุดเสมอไป แน่นอนว่าการแพ้วถางทางใหม่เป็นเรื่องที่อันตรายและยากลำบาก และมันอาจจะไม่คุ้มเสี่ยง แต่ถ้าไม่มีคนแรกที่เดินไปในทางลัดสนามก็ย่อมไม่เกิดเส้นทางขึ้น ใครจะไปรู้ทางที่เราแพ้วถางไปใหม่อาจจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า “ครรลอง” ให้เด็กในอนาคตถ่มถุยก็เป็นได้
  23. การบริหารการเงินเป็นสิ่งที่เราปฏิเสธไม่ได้ เพราะเงินเป็นมูลค่าของความเชื่อของทั้งสังคม เราจึงต้องใช้มันเพื่อให้เราสามารถดำรงชีวิตอย่างปกติสุขได้ การบริหารเงินไม่ได้หมายถึงการมีเงินมากหรือน้อย แต่หมายถึงการจัดการให้เราสามารถใช้เงินตามเป้าหมายได้
  24. เมื่อเราเป็นนายของเงินได้ เราจึงจะสามารถเป็นเจ้าของชีวิตได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเราจะต้องเป็นทาาของนายหนี้ เป็นทางของการใช้เพื่อดำรงหรือได้มาซึ่งสถานภาพ
  25. การเงินเป็นเรื่องของความได้เปรียบ ไม่มี fair game ในเกมส์การเงิน คนรวยจะต่อยอดการเงินของตัวเองไปอย่างไม่รู้จบ ไม่มีลิมิต และไม่เคยพอ เราทำได้แค่เป็นบริการให้กับคนรวย หรือลงเล่นเกมส์ในสนามการเงินที่พวกเขาไม่ได้ลงมาเล่น
  26. ลองลงทุนในตลาดการลงทุนเพราะมันจะสอนให้เรารู้จักกับสัจธรรมในชีวิตที่โหดร้ายและเป็นจริง
  27. เงินเกิดมารับใช้เรา ยอมให้เงินรับใช้เราบ้าง อย่าพยายามไปถึงปลายทาง ทางการเงินโดยต้องยอมสูญเสียสุกอย่างไป
  28. เราอาจจะกำหนดไม่ได้ว่าเราจะอยู่ไปจนถึงเมื่อไหร่ แต่เราตายได้ทุกเมื่อ ดังนั้นสามารถคิดไว้ได้ว่าเราอาจจะตายในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า หรืออาจอายุยืนเป็นร้อยปี พยายามบริหารความเสี่ยงดู
  29. เราเป็นสัตว์ฝูง แม้จะอยากโดดเดี่ยวแค่ไหนก็ตาม มนุษย์ไม่อาจปฏิเสธเสียงเรียกภายในที่อยากจะเข้าสังคมและได้รับการยอมรับได้ หากแต่ว่ามันจะแสดงออกมาในรูปแบบไหนเท่านั้นเอง
  30. การร้องขออาจจะดูเหมือนน่ารำคาญ แต่ผลลัพธ์มันคุ้มค่ามากกว่าผลเสีย เพราะเราไม่อาจรู้เลยว่าสิ่งที่เราร้องขออาจจะไปเติมเต็มความต้องการของผู้อื่นอยู่ก็ได้ ยอมเปิดโอกาสให้คนอื่นช่วยเราบ้าง
  31. การยอมรับการถูกปฏิเสธให้เป็น เป็นทักษะที่สำคัญมาก ๆ ในการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หากชีวิตนั้นไม่เคยถูกปฏิเสธเลยก็แปลว่าเรายังไม่ได้สำรวจด้านที่จะพัฒนาตัวเราไปได้อีก หรืออีกนัยหนึ่งคือเราอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยมากเกินไปแล้ว
  32. ความบิ่นแตกร้าวในตัวเรา ไม่ว่าจากปมวัยเด็กหรือสภาพภายในจิตใจเป็นสิ่งที่ถมเติมเต็มเราให้สมบูรณ์ หากปราศจากความแตกร้าวนั้นย่อมไม่มีหน่อไม้งอกงามออกมาได้
  33. กาลเทศะเป็นศิลปะที่ต้องเรียนรู้ให้ดี บางครั้งการทำลาย กาลเทศะ ไปบ้างก็ทำให้เรามีความสุขและเข้าถึงสิ่งที่ต้องการได้
  34. ถ้ารู้สึกหมดไฟ ไม่มีชีวิต ให้ไปลองเข้าป่า แล้วจะรู้ว่าชีวิตมันอยู่ในการเต้นของหัวใจของเรา มันอยู่ใต้ฝ่าเท้าเราเองนี่แหละไม่ต้องไปหาไกล
  35. เอาตัวเองไปอยู่ในที่ที่รู้สึกไม่สบายใจเสียบ้าง มันเป็นทั้งการฝึกฝนและเป็นการเปิดประสบการณ์ ความไม่สบายใจในตอนแรกอาจจะกลายเป็นบ้านใหม่ในอนาคตก็เป็นได้
  36. บางครั้งเมื่อโอกาสมันจากไป มันอาจจะหมายถึงมันจากไปจริง ๆ อย่าไปชะเง้อคอยหรือคาดหวัง เราอาจจะแค่ต้องมีชีวิตต่อ ตั้งความหวังใหม่แล้วก็ทำใจกับการผิดหวังใหม่ แค่นั้นเอง
  37. บางครั้งก็ต้องปล่อยให้พระเจ้าตัดสินใจให้บ้าง เพราะการคิดไปก็อาจจะเท่า ๆ กับการทอยเหรียญ เราอาจจะยอมให้พระเจ้าทอยเหรียญให้เราบ้าง พระเจ้าที่ว่านี้ไม่ได้หมายถึงพระเจ้าในทางศาสนาใด ๆ นะ แต่หมายถึงระบบหรือธรรมชาติบางอย่างที่รวม ๆ กันแต่พอเรียกว่าพระเจ้าแล้วมันเข้าใจง่ายดี
  38. โลกทั้งหมดอยู่ภายในก้อนไขมัน น้ำหนัก 1.4 กิโลกรัมภายใต้กะโหลกของเรานี่เอง ถ้าเราควบคุมมันได้ก็สามารถคุบคุมโลกทั้งใบได้ แน่นอนว่าการควบคุมสมองไม่ใช่สิ่งที่ทำได้เบ็ดเสร็จ แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำไม่ได้เลย โลกคือการรับรู้ของเราจำเอาไว้
  39. เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ จะมีได้จะต้องมีความฝันก่อน อย่าเพิ่งไปหัวเราะความฝันของใคร ไม่แน่ว่าเราอาจจะเป็นคนกระจอกเองก็ได้ ที่ไม่อาจฝันได้อย่างเขา
  40. บางครั้งคนเราก็ต้องมี limit และรู้จักพอ การเติบโตที่ไม่สิ้นสุดย่อมหมายถึงหายนะ เซลล์ที่เติบโตไปเรื่อย ๆ คือมะเร็ง ก็เหมือนกับที่เขียนอยู่นี้ ตอนเริ่มจะเขียน 40 ข้อก็คิดว่ามันจะเป็นไปได้ไหมนะ แต่พอมาถึงข้อ 40 ก็คิดว่า เออ จริง ๆ มันไม่พอเขียนสิ่งที่อยากเขียนแฮะ แต่ก็ต้องพอเอาไว้ เอาไว้มาเล่าต่อในส่วนอื่น ๆ แล้วกันนะ

ใส่ความเห็น